InfoQuest - ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นกว่า 200 จุด ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทจะปรับตัวขึ้น หากนายโดนัลด์ ทรัมป์ คว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนพ.ย. เนื่องจากพรรครีพับลิกันมีนโยบายที่เป็นมิตรต่อภาคธุรกิจ ซึ่งจะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้น และส่งผลบวกต่อตลาด
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่า ชัยชนะในการเลือกตั้งของนายทรัมป์จะช่วยลดโอกาสในการเกิดเหตุจลาจลในสหรัฐ ซึ่งจะช่วยสร้างเสถียรภาพต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในตลาด
ณ เวลา 20.41 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 40,230.96 จุด บวก 230.06 จุด หรือ 0.58%
"ที่ผ่านมา ทรัมป์มักมีนโยบายที่เอื้อต่อตลาด ขณะที่มีการคาดการณ์ว่า ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายในครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยให้ตลาดคลายความวิตกเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในการเลือกตั้ง" นายนิค เฟอร์เรส หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Vantage Point Asset Management กล่าว
ทางด้านโกลด์แมน แซคส์ออกรายงานระบุว่า "ในการเลือกตั้งประธานาธืบดี 5 ครั้งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของประธานเจ้าหน้าที่บริหาร, ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และโดยเฉพาะความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็ก มักขานรับชัยชนะของพรรครีพับลิกันมากกว่าพรรคเดโมแครต และความเชื่อมั่นดังกล่าวนำไปสู่การใช้จ่ายและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นชัยชนะของทรัมป์จะช่วยกระตุ้นแนวโน้มกำไรของภาคธุรกิจ"
นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ลอบสังหารนายโดนัลด์ ทรัมป์ จะส่งผลให้นายทรัมป์คว้าชัยชนะเหนือประธานาธิบดีโจ ไบเดน คู่แข่งจากพรรคเดโมแครตในการเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพ.ย.นี้
"ทรัมป์มีคะแนนนำไบเดนอยู่ก่อนแล้ว และเหตุการณ์นี้จะยิ่งทำให้คะแนนนิยมของทรัมป์ทิ้งห่างออกไป" นายอดัม ไครซาฟูลลี ผู้ก่อตั้งสถาบัน Vital Knowledge กล่าว
ส่วนนายแซม สโตวอลล์ หัวหน้านักวิเคราะห์ฝ่ายการลงทุนของ CFRA Research กล่าวว่า "ข่าวดีคือทรัมป์ไม่ได้รับบาดเจ็บ โดยมีแผลเล็กน้อยบริเวณหูเท่านั้น และเขาไม่ได้เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นจะยังคงดีดตัวขึ้นต่อไป"
มีการคาดการณ์ว่า นายทรัมป์จะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการจากพรรครีพับลิกันให้เป็นตัวแทนของพรรคในการชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในศึกเลือกตั้งเดือนพ.ย. โดยการประชุมใหญ่ของพรรครีพับลิกันจะมีในสัปดาห์นี้ระหว่างวันที่ 15-18 ก.ค.
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่สมาคมเศรษฐกิจแห่งวอชิงตัน ดีซี (Economic Club of Washington, D.C.) ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้กำหนดเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในปีนี้
การกล่าวสุนทรพจน์ดังกล่าว ซึ่งจะมีขึ้นในวันนี้เวลา 12.30 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือคืนนี้เวลา 23.30 น.ตามเวลาไทย ถือเป็นการแสดงความเห็นของนายพาวเวลเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เจ้าหน้าที่เฟดจะเริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ในวันเสาร์นี้ และก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 30-31 ก.ค.
ทั้งนี้ กฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นต่อสาธารณะ หรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย., พ.ย. และธ.ค. จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในเดือนก.ย.และธ.ค. หลังสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่ต่ำกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 89.9% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือนก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 71.0% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ นักลงทุนให้น้ำหนัก 59.2% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือนพ.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 33.5% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ขณะเดียวกัน นักลงทุนให้น้ำหนัก 52.6% ที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนักเพียง 26.0% เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว