InfoQuest - นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดปรับตัวขึ้น หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการเปิดรับสมัครงาน (Job Openings) ลดลงอยู่ที่ 8.7 ล้านตำแหน่ง ต่ำกว่าตลาด
คาดที่ 9.3 ล้านตำแหน่ง สะท้อนแนวโน้มตัวเลขภาคแรงงานอื่น ๆ ของสหรัฐ เช่น ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรที่จะรายงานในวันศุกร์นี้น่าจะปรับตัวลดลงขณะที่เมื่อวันจันทร์ GDPNow ของ Fed Atlanta ปรับลดการคาดการณ์การเติบโตของ GDP สหรัฐในไตรมาส 4/66 จากเดิมที่ 1.8% ลงมาที่ 1.2% สะท้อนการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลงจากไตรมาส 3/66 ทำให้มีโอกาสน้อยมากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นักลงทุนให้น้ำหนักกว่า 50% ว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน มี.ค.67 จากเมื่อสัปดาห์ที่แล้วให้น้ำหนัก 50% ว่าจะลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน พ.ค.67 รวมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้าไปที่ตลาดพันธบัตรและหุ้น
กลุ่มแนะนำในวันนี้ ได้แก่ กลุ่มโรงไฟฟ้า จากราคาน้ำมันและบอนด์ยีลด์ที่ลดลง และหุ้นที่เป็นเป้าหมายกองทุน TESG ซึ่งเมื่อวันจันทร์ (4 ธ.ค.) เริ่มเห็นแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เช่น ADVANC PTT (BK:PTT) และ CPALL (BK:CPALL) รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยว ค้าปลีก เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High season
พร้อมให้กรอบแนวต้าน 1,400 จุดและแนวรับ 1,375 จุด ทั้งนี้รอมูลค่าการซื้อขายเข้ามาประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ดัชนีน่าจะยืนเหนือ 1,400 จุดได้
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (5 ธ.ค.66) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 36,124.56 จุด ลดลง 79.88 จุด ลดลง
-0.22%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,567.18 จุด ลดลง 2.60 จุด หรือ -0.06% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,229.91 จุด เพิ่มขึ้น 44.42 จุด หรือ +0.31%- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดภาคเช้าที่ระดับ 32,928.92 จุด เพิ่มขึ้น 153.1 จุด หรือ +0.47% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดภาคเช้าที่ระดับ 16,311.96 จุด ลดลง 15.90 จุด หรือ -0.10% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดภาคเช้าที่ระดับ 2,966.95 จุด ลดลง 5.35 จุด หรือ -0.18%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 ธ.ค.66) ที่ 1,383.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.23 จุด (+0.23%) มูลค่าซื้อขาย 35,519.36 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขาซื้อสุทธิ 1,016.44 ที่ 236.39 ล้านบาท (4 ธ.ค.66)
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.(5 ธ.ค.) ลดลง 72 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 72.32 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 ธ.ค.66) อยู่ที่ 7.41 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.26 ให้กรอบวันนี้ 35.10-35.40 จับตาราคาทองคำ-ทิศทาง Flow
- ครม.เคาะแล้ว มาตรการ "Easy e-Receipt" ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 50,000 บาท ตั้งแต่ 1 ม.ค.-15 ก.พ. รวม 46 วัน ปลุกมู้ดจับจ่ายต้นปี'67 ค้าปลีกขานรับ ช่วยปลุกคนมีกำลังซื้อจับจ่ายมากขึ้น แต่ติงช่วงเวลาไม่เหมาะ ขณะที่ค่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าหวั่นฉุดยอดขายปลายปี อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหวั่นไม่ได้ อานิสงส์ ส่วนโบรกเกอร์ คาดช่วยปลุกเงินสะพัด 1-2 แสนล้าน ดันจีดีพีโต 0.54-1.09%
- อีอีซี เร่งขับเคลื่อนการพัฒนาระยะที่ 2 ชงครม.ธ.ค.นี้ ไฟเขียวแผนดึงเงินลงทุนจริง 5 แสนล้านบาท ใน 5 ปี ตั้งเป้าจีดีพีในพื้นที่ขยายตัวเฉลี่ย 6.3 % ผ่าน 5 แนวทาง หลังเฟสแรกเกิดการลงทุนแล้วราว 2 ล้านล้านบาท พร้อมลุยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมและสาธารณูปโภคอีก 77 โครงการ วงเงินรวม 3.37 แสนล้านบาท
- ธุรกิจไทยใน "เมียนมา" รับมือความเสี่ยงจากสถานการณ์สู้รบ "กลุ่มชาเทรียม" เจ้าของโรงแรมในย่างกุ้งเผยรับผลกระทบตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ปรับกลยุทธ์มุ่ง "ลดต้นทุน-พึ่งพา ลูกค้าท้องถิ่น" ยันเดินหน้าธุรกิจต่อไป ด้านเจ้าของร้านอาหารไทย "ต้มยำกุ้ง" รวม 5 สาขาในเมียนมา เน้นสื่อสารลูกค้า ย้ำเมืองท่องเที่ยวยังเที่ยวได้ ด้าน "ทีทีเอเอ" ระบุลูกค้าคนไทยเริ่มจองแพ็กเกจ "ทัวร์เมียนมา" เดือน ธ.ค. จากก่อนหน้านี้วิตกความปลอดภัยยกเลิกเดินทางทุกกรุ๊ป
- กกร.นัดถกด่วนวันนี้ หารือผลกระทบ กกพ. ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวด ม.ค.-เม.ย.67 เป็น 4.68 บาท/หน่วย ชี้กระทบอุตสาหกรรม 45 กลุ่ม ซ้ำเติมสินค้าขึ้นราคา ลงทุนต่างชาติชะงัก เตรียมยื่นข้อเรียกร้องตั้ง "กรอ.พลังงาน" เพื่อเร่งปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เล็งขอทบทวนคงอัตราเดิมที่ 3.99 บาท/หน่วย เผย "พีระพันธุ์" พร้อมแตะเบรก แต่จะถึงขั้นตรึงหรือไม่ ขอเวลาพิจารณาให้รอบด้าน มั่นใจมีข่าวดี มอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย ระบุยังจะพิจารณาแนวทางดูแลราคาดีเซล และ LPG ต่อ หลังจะสิ้นสุดการตรึงราคา 31 ธ.ค.นี้
*หุ้นเด่นวันนี้
- PLANB (ดาโอ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 8.50 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 3/66 ที่ 261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% YoY และ 15% QoQ ใกล้เคียงคาด หนุนโดยรายได้โต 23% จากรายได้ธุรกิจสื่อนอกบ้านเติบโตดี คาดกลุ่ม FMCG จะทุ่มใช้งบโฆษณามากขึ้นหลังตั้งรัฐบาลคาดกระตุ้นการใช้จ่ายจากภาครัฐ ซึ่ง PLANB จะได้ประโยชน์มากสุดในกลุ่ม OOH จาก market share สูงสุด แนวโน้มไตรมาส 4/66 ยังมองบวกคาดรายได้อาจทำ All Time High ด้วยอัตราการใช้สื่อมากกว่า 75% และเป็น High season ของธุรกิจ จึงทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาสนับสนุนในช่วงโค้งสุดท้ายของปี
- SJWD (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 21.50 บาท ธุรกิจ Automotive รับฝากและบริหารรถยนต์ที่เป็นพระเอกในปี 2566 เป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง 40% ในไตรมาส 4/66 จะมีรถ BYD เข้ามาใช้พื้นที่ของบริษัทอีกราวหมื่นคัน รวมถึงในปี 2024 ที่จะมีรถ EV เตรียมเข้าไทยอีกหลายค่าย ธุรกิจห้องเย็นมีแนวโน้มดีขึ้นหลังมีสินค้าปลาเข้ามาใช้พื้นที่เพิ่ม เราคาดกำไรปกติไตรมาส 4/66 เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีนี้ และจะมีรายการพิเศษจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมซื้อธุรกิจ SCGL คงประมาณการกำไรปี 2023 +50% y-y และปี 2024 +48% y-y และคาดเป็นหนึ่งในหุ้นเป้าหมายของกอง TESG
- PTT (คิงส์ฟอร์ด)"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 39.00 บาท PTT ไตรมาส 3/66 มีกำไรสุทธิ 3.13 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น +56%QoQ, +253%YoY โดยกำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ หลักๆ มาจากผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจการกลั่นที่ค่าการกลั่นที่ปรับตัวดีขึ้น รวมถึงมีการบันทึกกำไรสต๊อกน้ำมันเป็นจำนวนมาก ถ้าหักออกกำไรปกติอยู่ที่ 3.06 หมื่นล้านบาท +1%QoQ ขณะที่ EBITDA ทั้งกลุ่มอยู่ที่ 1.46 แสนล้านบาท +58%QoQ, +58%YoY สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/66 คาดกำไรปกติลดลง QoQ แต่ยังอยู่ในระดับราว 2.5 หมื่นล้านบาท เติบโตได้ YoY หนุนจากธุรกิจก๊าซฯ ของ PTT และธุรกิจ E&P ของ ปตท.สผ.ที่มีปริมาณขายมากขึ้น นอกจากนี้ยังมองว่า PTT เป็นตัวแทนของกลุ่มพลังงานที่แข็งกว่าตลาด และเข้าข่ายหุ้นที่เป็นเป้าหมายกองทุน TESG