โดย Zhang Mengying
Investing.com – ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเช้าวันพฤหัสบดีในตลาดเอเชีย เนื่องจากข้อมูลอัตราเงินเฟ้อที่ร้อนแรงของสหรัฐฯ ผลักดันให้ตลาดคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐจะกระชับนโยบายการเงินมากขึ้น
เงินดอลลาร์ต่างได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่าจะมีการกระชับนโยบายการเงินมากขึ้นและการเข้าตลาดสินทรัพย์ปลอดภันมากขึ้นเนื่องจากความกลัวของภาวะถดถอยก็มีมากขึ้น
ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ติดตามค่าเงินดอลลาร์เทียบกับกลุ่มสกุลเงินอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 0.43% เป็น 108.42 เมื่อเวลา 01:34 น. ET (5:34 น. GMT)
USD/JPY พุ่งขึ้น 0.69% เป็น 138.37
AUD/USD ขยับขึ้น 0.06% เป็น 0.6764 และ NZD/USD ขยับลง 0.09% เป็น 0.6126
USD/CNY ขยับขึ้น 0.15% เป็น 6.7287 ในขณะที่ GBP/USD ลดลง 0.26% เป็น 1.1859
ค่าเงินบาท USD/THB ทำระดับสูงสุดที่ 36.470 บาทต่อดอลลาร์
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเป็น 9.1% ในเดือนมิถุนายนเมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงที่สุดในรอบสี่ทศวรรษ Investing.com ได้คาดการณ์ว่าตัวเลขจะอยู่ที่ 8.8% ในขณะที่ในเดือนพฤษภาคมตัวเลขอยู่ที่ 8.6% โดยนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าการอ่าน 9.1% ถือเป็นจุดสูงสุดหรือไม่
คริสตินา คลิฟตัน นักวิเคราะห์จาก ธนาคาร Commonwealth แห่งออสเตรเลีย (OTC:CMWAY) ได้กล่าวไว้ในบันทึกย่อว่า "สิ่งสำคัญที่สุดคือโมเมนตัมเงินเฟ้อของสหรัฐฯ กำลังเพิ่มขึ้น"
“อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จะเพิ่มความเสี่ยงที่ FOMC จะยังคงปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดภาวะถดถอย” เธอกล่าว “เราคาดว่าความกลัวการถดถอยจะยังคงหนุน USD”
ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ปลายเดือนนี้ ราฟาเอล บอสติกประธานเฟดแห่งแอตแลนต้า กล่าวว่า "ทุกอย่างกำลังทำหน้าที่ของมัน" เพื่อต่อสู้กับแรงกดดันด้านราคา
ลอเล็ตต้า เมสเตอร์ประธานเฟดแห่งคลีฟแลนด์ บอกกับบลูมเบิร์กว่ารายงานตัวเลข CPI นั้นย่ำแย่อย่างสม่ำเสมอ และธนาคารกลางจะต้องดำเนินการให้เหนือกว่าระดับที่เป็นกลางของอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางอื่น ๆ ทั่วโลกก็กำลังกระชับนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดมากขึ้นเพื่อลดราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งสูงขึ้น
ในเอเชียแปซิฟิก ธนาคารกลางของสิงคโปร์ได้ปรับนโยบายการเงินอย่างเข้มงวดอย่างกระทันหันในวันพฤหัสบดี ส่งผลให้ค่าเงินสูงขึ้น
ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีนรายหนึ่งกล่าวว่าสภาพคล่องในตลาดระหว่างธนาคารนั้น “เพียงพอพอสมควร” ซึ่งเป็นสัญญาณว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปไม่น่าจะเกิดขึ้นได้