InfoQuest - ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (24 ต.ค.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของกิจกรรมในภาคธุรกิจของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.69% แตะที่ระดับ 106.2679
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 149.8990 เยน จากระดับ 149.5640 เยนในวันจันทร์ (23 ต.ค.), แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.8932 ฟรังก์ จากระดับ 0.8910 ฟรังก์, แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3730 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3682 ดอลลาร์แคนาดา และแข็งค่าเมื่อเทียบกับโครนาสวีเดน ที่ระดับ 11.1128 โครนา จากระดับ 10.9599 โครนา
ส่วนยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0589 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0674 ดอลลาร์ในวันจันทร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2162 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2255 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า หลังจากเอสแอนด์พี โกลบอลรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเดือนต.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 51.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 50.2 ในเดือนก.ย. โดยดัชนี PMI อยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ
ส่วนยูโรและปอนด์อ่อนค่าลง หลังจากเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและบริการขั้นต้นเดือนต.ค.ของยูโรโซน เยอรมนี และอังกฤษ ต่างก็ลดลงสู่ระดับต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคธุรกิจอยู่ในภาวะหดตัว โดยเฉพาะดัชนี PMI ในเยอรมนีที่หดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และดัชนี PMI ของอังกฤษหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจเยอรมนีและอังกฤษมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
นักลงทุนจับตาสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3/2566 ในวันพฤหัสบดีนี้ ซึ่งจะเป็นตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ขณะที่ตลาดคาดการณ์ว่าการขยายตัวของ GDP จะพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.3% จากระดับ 2.1% ในไตรมาส 2
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนก.ย.ของสหรัฐในวันศุกร์นี้อย่างใกล้ชิด โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)