โดย วณิชชา สุมานัส
Investing.com – ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วันนี้ แสดงความกังวลว่า สถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น อาจทำตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ของประเทศหายไป 0.8 - 2% โดยหวังว่า รัฐบาลจะมีมาตรการเพิ่มเติมออกมาช่วยพยุง และกระตุ้นให้รัฐบาลเร่งหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้แก่ประชาชน แทนมาตราการเข้มงวดที่ออกมาในขณะนี้
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในช่วง “Media Briefing ส่องเศรษฐกิจไทยในวิกฤติโควิด” ว่า สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังไม่สามารถที่จะคาดการณ์อะไรไม่ได้นัก และไวรัสโควิด สายพันธุ์เดลต้ากลายเป็นสายพันธุ์หลักในไทย ทำให้การระบาดมีแนวโน้มรุนแรงและยื้ดเยื้อกว่าที่คาดไว้และจะบริหารจัดการได้ยากขึ้น ทำให้ส่งผลกระทบต่อการควบคุมการระบาดในปัจจุบัน และเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ทำให้หดตัวลง
นอกจากนี้ นางสาวชญาวดี ยังชี้ให้เห็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นและแย่ลง จากการรับมือสถานการณ์การระบาดโควิด ซึ่งก็คือ หากภาครัฐมีมาตรการเข้มข้นจนหยุดการระบาดได้ 40% และกิจกรรมของเศรษฐกิจสามารถกลับมาได้ในเดือนสิงหาคม เศรษฐกิจจะได้รับผลกระทบ 0.8% แต่ในกรณีที่แย่ที่สุด รัฐมีมาตรการเข้มงวด แต่ประสิทธิภาพในการดูแลการแพร่เชื้อไม่ได้มากเพียง 20% จะทำให้โควิดกลับมาระบาดได้อีก และการล็อกดาวน์จะยาวนานขึ้น และกระทบความเชื่อมันของประชาชนมากขึ้น และกระทบเศรษฐกิจถึง 2%
ธปท. ยังคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 64 จะขยายตัว 1.8% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง และผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังจะยืดเยื้อและรุนเรืองกว่าที่คาด อย่างไรก็ตาม นโยบายการคลังจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในช่วงวิกฤตินี้ เพราะการใช้จ่ายของภาครัฐจะยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนและประคับประคองเศรษฐกิจในปัจจุบัน สำหรับที่ผ่านมา มีมาตราการทางการเงินช่วยเสริมสภาพคล่องและบรรเทาภาระหนี้สินชั่วคราว ซึ่งอาจจะยังได้ผลจำกัดเท่านั้น และยังไม่สามารถครอบคลุมได้ทุกกลุ่ม
นางสาวชญาวดี ชี้ว่า เศรษฐกิจในปี 2565 ยังต้องติดตามเรื่องการระบาดของโควิด-19 และการเปิดประเทศทั้งในและต่างประเทศ ความมั่นใจและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทย รวมทั้งนโยบายการคลังและวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจว่าจะยังยืดเยื้อแค่ไหน ทั้งนี้ ให้ติดตามความเปราะบางของธุรกิจต่าง ๆ และหนี้ครัวเรือนเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้น้อยลง
สำหรับปีนี้ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ 10 แห่ง ทำกำไรได้รวม 51,261 ล้านบาท จากการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 เพิ่มขึ้น 9.93% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 1 ในปีเดียวกัน และเพิ่มขึ้น 69.15% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดย ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) (BAY) มีกำไรสูงสุด หลังบุ๊คกำไรขายหุ้น เงินติดล้อ (TIDLOR)
อย่างไรก็ตาม มี 5 ธนาคาร ประกอบด้วย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (CIMBT), ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (KBANK) , ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจำกัด (มหาชน) (BAY), บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด(มหาชน) (TISCO) และ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) (KKP) ที่มียอดคงค้างของเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Gross NPLs) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สำหรับ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) , ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB), ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ (TTB) และ แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (LHFG) มี Gross NPLs ที่ลดลง เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า
ด้าน ธปท. เตรียมออกประกาศเกณฑ์ดูแลค่าธรรมเนียมแบงก์กว่า 300 รายการ เริ่มไตรมาสปี 2564 หวังสะท้อนต้นทุน-รายได้จริง