โดย Detchana.K - ประเทศไทยแม้จะได้ชื่อว่าควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ดีเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ตลาดหุ้นไทยกลับไม่ได้สะท้อนภาพในเชิงบวกมากนัก โดยนับตั้งแต่ต้นปีตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนลดลง ถึง-16.7% ขณะที่ตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆ ให้ผลตอบแทนพลิกกลับมาเป็นบวกแล้ว ติดตามรายละเอียดพร้อมประเด็นสำคัญที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้
1. ตลาดหุ้นไทย Laggard มากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นทั่วโลก
บล.เอเชียพลัสเผยว่า ตลาดหุ้นไทยยัง Laggard ในขาขึ้น แม้ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ปลอดภัยจาก Covid-19 ในลําดับต้นๆ ของโลก แต่หากไป
พิจารณารูปแบบการเคลื่อนไหวของ SET Index กลับยังไม่สะท้อนภาพดังกล่าว โดยหากมองอัตราการเปลียนแปลงของดัชนีราคาหุ้นเชิงเปรียบเทียบจากต้นปีจนถึงปัจจุบัน
พบว่า ณ วันที่ 26 ส.ค. ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี ถึง - 16.7% (ytd) ซึ่งลดลงมากสุดเป็นอันดับที่ 70 จากตลาดหุ้นทั่วโลกกว่า 93 ตลาด ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้น ทั้งในประเทศพัฒนาแล้ว (MSCI World Market) และกําลังพัฒนา (MSCI Emerging Market) ให้ผลตอบแทนพลิกกลับมาเป็นบวก +2.7%(ytd) และ+0.01% (ytd) ตามลําดับ
ขณะที่ Valuation ตลาดหุ้นไทยเริ่มมีความน่าสนใจมากขึ้น เนืองจาก SET Index ณ ปัจจุบันปรับฐานลงมาจนมี Market Earning Yield Gap ปี 2564 มากถึง 5% รวมถึง ยังเห็น Upside ที่เปิดกว้างจากเป้าหมายของดัชนีปี 2564 แบบConservative ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5 % ได้ผลลัพธ์เป้าหมายดัชนี คือ 1450 จุด ( กรณีคงดอกเบี้ย) และ 1526 จุด ( กรณีลดดอกเบี้ย 0.25%)
2. กลุ่มพลังงานยังได้รับแรงหนุนจาก Hurricane Season
บล.หยวนต้าเผยมุมมองเรื่องพายุเป็นปัจจัยบวกระยะสั้น จากการที่สำนักงานนิรภัยและการบังคับใช้สิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (Bureau of Safety and Environmental Enforcement - BSEE) รายงานสถานการณ์เฮอร์ริเคนมาร์โคและพายุโซนร้อนลอรา ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่อ่าวเม็กซิโก ส่งผลให้บริษัทน้ำมันในอ่าวเม็กซิโกปรับลด กำลังผลิตน้ำมันนอกชายฝั่งแล้วประมาณ 84.3% คิดเป็น 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน รวมไปถึง กระทบกำลังการผลิตก๊าซฯ มากถึง 61%
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ การรายงานปริมาณสำรองน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ โดยสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐฯ (EIA) จะรายงานวันนี้ (26 ส.ค.) เวลา 21.30 น. ตามเวลาไทย ขณะที่ผลสำรวจของ เอสแอนด์พี โกลบอล แพลทส์ คาดว่า ปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะลดลง 4.3 ล้านบาร์เรล ใน สัปดาห์ที่ผ่านมา (สิ้นสุดวันที่ 21 ส.ค.)
ประเมินว่าประเด็นดังกล่าวเป็น Sentiment เชิงบวกระยะสั้นเท่านั้นต่อการลงทุนหุ้นในกลุ่มธุรกิจพลังงาน ปตท (BK:PTT) (BK:PTTEP) ไทยออยล์ (BK:TOP) BCP IRPC SPRC และ PTTGC) รวมทั้งเป็นบวกต่อราคาก๊าซฯ (Henry Hubs) ในสหรัฐฯ โดยราคา Henry Hubs ล่าสุด อยู่ที่ 2.52 เหรียญต่อล้าน BTU ซึ่งเป็นบวกต่อ บ้านปู (BK:BANPU)
3. ทางการเร่งระดมอัดมาตรการทั้งการเงินและการคลังเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี
วิจัยกรุงศรีเผยว่า ครม.อนุมัติโครงการ Soft Loan Plus เพิ่มโอกาสให้ SMEs เข้าถึงสินเชื่อมากขึ้น การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 18 สิงหาคม มีมติเห็นชอบโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะพิเศษ (Soft Loan Plus) วงเงิน 57,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึง โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธปท. (พ.ร.ก.ซอฟต์โลน 5 แสนล้านบาท) ได้มากขึ้นโดยจะให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อให้แก่ SMEs ที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนด แต่ไม่ได้รับสินเชื่อเพราะส่วนหนึ่งไม่มีหลักประกัน
จากข้อมูลของธปท.(วันที่ 10 สิงหาคม 2563) มี SMEs ที่เข้าโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของธปท. จำนวน 67,205 ราย วงเงินสินเชื่ออนุมัติแล้ว 111,921 ล้านบาท (คิดเป็น 22.3% ของวงเงินทั้งหมด) ทางการคาดหวังว่าโครงการค้ำประกันสินเชื่อ Soft Loan Plus จะช่วยหนุนให้ SMEs เข้าโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 34,700 ราย และเข้าถึงเงินกู้เฉลี่ยรายละ 1.6 ล้านบาท ซึ่งรวมแล้วคาดว่าจะสามารถช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับ SMEs ได้กว่าหนึ่งแสนรายซึ่งหากเทียบกับข้อมูลในปี 2561 ซึ่งมีจำนวนผู้ประกอบการ SMEs ทั้งหมดอยู่ราวกว่า 3 ล้านราย จึงยังต้องติดตามปัญหาสภาพคล่องของ SMEs ในระยะ ข้างหน้า และนอกจากทางการจะแก้ปัญหาการขาดสภาพคล่องของลูกหนี้แล้ว
ด้าน ศบศ.เห็นชอบ 4 มาตรการเร่งด่วนกระตุ้นเศรษฐกิจ การประชุมของศูนย์ บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบการระบาดของ COVID-19 (วันที่ 19 สิงหาคม) เห็นชอบหลักการมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ (i) มาตรการ สนับสนุนการท่องเที่ยว โดยจะขยายสิทธิเพิ่มเติมในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน อาทิ ขยายสิทธิจากคนละ 5 สิทธิเป็น 10 สิทธิ และขยายสนับสนุนตั๋วเครื่องบินจาก 1,000 บาทต่อคน เป็น 2,000 บาทต่อคน (ii) มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจและผู้ประกอบการ SMEs (ครม.อนุมัติแล้ว) (iii) มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน โดยทางการระบุจะ สามารถจ้างงานเพิ่มได้ 6-7 แสนตำแหน่ง และ (iv) มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย และ ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กๆ หรือพ่อค้าแม่ค้า หาบเร่แผงลอย รวมถึง การเปิดรับ ผู้ใช้สิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติม ทั้งนี้ มาตรการต่างๆ เหล่านี้จะทยอยจัดทำรายละเอียดเสนอให้ครม.พิจารณาอนุมัติต่อไป