ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เปิดตลาดทะยานขึ้น นักลงทุนพยายามกู้ความเชื่อมั่นกลับมา

โดย Liz Moyer 

Investing.com -- หุ้นสหรัฐฯ พุ่งขึ้น หลังนักลงทุนพยายามมองข้ามผลงานรายสัปดาห์ที่ย่ำแย่ที่สุดของปีนี้ที่พึ่งผ่านไป

เมื่อเวลา 9:45 ET (14:45 GMT) ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 216 จุดหรือ 0.7% ขณะที่ S&P 500 เพิ่มขึ้น 0.7% และ NASDAQ Composite เพิ่มขึ้น 0.9%

หุ้นร่วงลงในวันศุกร์หลังจากข้อมูลที่ร้อนแรงเกินคาดใน รายงานข้อมูลเงินเฟ้อ นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะคงอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นต่อไปอีกนาน หากไม่เห็นหลักฐานว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องกำลังทำหน้าที่ควบคุมอัตราเงินเฟ้อ

แม้ว่า S&P 500 จะขาดทุนเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันในสัปดาห์ที่แล้วจากความกังวลเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย การซื้อขายฟิวเจอร์สในเช้าวันจันทร์แสดงให้เห็นสัญญาณว่านักลงทุนมีความหวังมากขึ้น

นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่าเฟดจะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อยอีก 2-3 ครั้งในปีนี้ โดยเริ่มจากการขึ้น 0.25 เปอร์เซ็นต์ในเดือนมีนาคมและพฤษภาคม ผู้กำหนดนโยบายต้องการผลักดันอัตราสูงสุดให้สูงกว่า 5.1% ซึ่งผู้ค้าฟิวเจอร์สกำลังเดิมพันว่าจะเกิดขึ้นภายในสิ้นฤดูร้อน

แต่คำถามคืออัตราดอกเบี้ยจะยังคงสูงขึ้นไปอีกนานแค่ไหนจนกว่าเฟดจะเริ่มลดอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ได้ระบุในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาว่าจุดกลับตัวไม่ได้อยู่ในปีนี้แน่นอน

หุ้นของ Tesla Inc (NASDAQ:TSLA) พุ่งขึ้น 3.9% หลังจากโรงงานในกรุงเบอร์ลินมีกำลังผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 4,000 คันต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้สามารถส่งมอบรถยนต์เร็วกว่ากำหนด เทสลามีกำหนดจัดงานวันนักลงทุนในวันพุธซึ่งคาดว่าจะเปิดเผยแผนการต่อไปของบริษัท

Berkshire Hathaway B ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทในเครือของวอร์เรน บัฟเฟตต์ (NYSE:BRKb) รายงานผลกำไรจากการดำเนินงานประจำปีสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยไม่สนใจผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่งผลต่อผลประกอบการในไตรมาสที่สี่

Seagen Inc (NASDAQ:SGEN) หุ้นเพิ่มขึ้นประมาณ 14% หลังจากมีรายงานว่าบริษัทยายักษ์ใหญ่อย่าง Pfizer (NYSE:PFE) กำลังเจรจาเพื่อซื้อกิจการมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์

หุ้นของ Union Pacific Corporation (NYSE:UNP) เพิ่มขึ้น 9% หลังจาก Lance Fritz ซีอีโอของการรถไฟประกาศแผนการที่จะลงจากตำแหน่งในปีนี้หลังจากได้รับแรงกดดันจากผู้ถือหุ้นที่เป็นแอคทิวิส

น้ำมันลดลง สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ลดลง 1.1% สู่ 75.44 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันดิบ เบรนท์ ลดลง 1.1% สู่ 81.94 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาทองคำ เพิ่มขึ้น 0.3% เป็น 1,822 ดอลลาร์ต่อออนซ์