ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed ประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อวันที่ 21 กันยายนที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ โดยเป็นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ตามคาด เป็นการขึ้นในอัตรา 0.75% ครั้งที่ 3 ติดต่อกัน
ทำให้ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ในขณะนี้อยู่ที่ 3.25% จากเริ่มต้นที่ 0% ในปี 2022 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นอัตราที่สูงที่สุดตั้งแต่ปี 2008 ที่มี Global Financial Crisis (GFC) หรือวิกฤตการเงินโลก ที่ว่ากันว่าเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งที่ร้ายแรงที่สุดตั้งแต่เหตุการณ์ Great depression ปี 1929
รวมไปถึงฝั่งของนักกำหนดนโยบาย ก็ยังคาดการณ์ว่าช่วงต้นปี 2023 อาจจะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ในเดือนมิถุนายนอีกด้วย
โดยการตัดสินใจของ Fed ในครั้งนี้ก็คาดว่าจะเป็นการตอบรับรายงานของรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ก่อน ที่แสดงถึง ‘การปรับตัวสูงขึ้นของราคา’ ในวงกว้างมากขึ้น ที่มาพร้อมกับราคาค่าเช่า รวมไปถึงบริการอื่นๆ ที่กำลังพุ่งสูงขึ้น ถึงแม้ว่าฝั่งที่ได้รับผลกระทบไปในรอบก่อนหน้าอย่างราคาน้ำมันจะเริ่มคลี่คลายแล้วก็ตาม
Fed ใช้ ‘ดอกเบี้ย’ สู้เงินเฟ้อ
ซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็เป็นอาวุธชิ้นสำคัญของ Fed ที่จะนำมาต่อกรกับ ‘เงินเฟ้อ’ ของสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นไปถึง 9.1% ในเดือนมิถุนายน สูงสุดในรอบ 40 ปี เช่นเดียวกันกับสหราชอาณาจักรที่พุ่งขึ้นมา 10.1% สูงที่สุดในรอบ 40 ปีเช่นกัน
เมื่อการที่ซัพพลายและดีมานด์ไม่สอดคล้องกันทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้น สิ่งที่ Fed ทำได้ก็คือการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้สูงขึ้น เพื่อให้ความต้องการในการกู้ยืมเงินลดน้อยลง ทั้งจากฝั่งของผู้ประกอบการเองและประชาชนทั่วไป