ธนาคารกลางแคริบเบียนตะวันออก (ECCB) เริ่มขยายระบบการชำระเงินดิจิทัลเข้าไปยังเครือรัฐโดมินิกา และ มอนต์เซอร์รัตดินแดนที่อยู่ภายใต้อธิปไตยของสหราชอาณาจักรแล้วเมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมา ส่งผลให้ล่าสุดหลายประเทศในแถบแคริบเบียนตะวันออกใช้ CBDC มากขึ้น ทิ้งให้แองกวิลลากลายเป็นประเทศสุดท้ายที่ยังไม่ได้วางแผนจะนำเหรียญดังกล่าวไปใช้
แคริบเบียนตะวันออกใช้ CBDC หรือ EC Dollar แล้ว
ในเดือนมีนาคมปี 2021 ที่ผ่านมา ECCB ได้เปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ในชื่อ “EC Dollar” โดยทางธนาคารได้ร่วมมือกับ DCash เพื่อเปิดให้บริการสกุลเงินดังกล่าวในประเทศแถบแคริบเบียนตะวันออก ได้แก่ แอนติกาและบาร์บูดา, เกรเนดา, เซนต์คริสโตเฟอร์ และ เนวิส และเซนต์ลูเซีย ซึ่งก่อนหน้านี้ในเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาทางธนาคารได้ขยายการใช้งาน CBDC ไปยังเซนต์วินเซนต์ และ เกรนาดีนส์ด้วยเช่นเดียวกัน
DCash เป็นระบบการชำระเงินที่ถูกออกแบบมาเพื่อสกุลเงินดิจิทัล EC โดยเฉพาะ ซึ่งแอปพลิเคชันดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ถือครอง CBDC สามารถซื้อ และ โอนสินทรัพย์ในรูปแบบ P2P (Person-to-Person Transfer) ภายในเครือ Eastern Caribbean Currency Union (ECCU) ได้ ซึ่ง Timothy N.J. Antoine ผู้ว่าการแห่ง ECCB เป็นผู้คิดค้นไอเดียการนำแอปพลิเคชันดังกล่าวมาใช้ โดยล่าสุดเขาได้ออกมากล่าวเมื่อวันอังคารที่ 7 ธันวาคม ที่ผ่านมาว่าระบบการชำระเงินแบบดั้งเดิมนั้นช้าเกินไป และ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ดิจิทัล EC นั้นเหมาะสำหรับทุกคน นอกจากนี้เขายังกล่าวเสริมอีกว่า
“เป้าหมายของโปรเจกต์นี้มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ท้ายที่สุดแล้วการส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และ สังคมนั้นก็เพื่อให้ประชาชนในเครือสหภาพของเรามีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน”
กลุ่มประเทศแคริบเบียนได้เริ่มพัฒนา CBDC มาตั้งแต่ปี 2019
Dcash Wallet และ ระบบการชำระเงิน CBDC ได้ถูกพัฒนามากว่า 2 ปีก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2021 โดยโครงการนำร่องในชื่อ DXCDCaribe ได้เคยถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ซึ่งเป็นเวอร์ชันทดลองสำหรับระบบ DCash
อ้างอิงจากข้อมูลของ atlanticcouncil.org ระบุว่าปัจจุบันมี 9 ประเทศทั่วโลกที่เริ่มใช้งาน CBDC อย่างเป็นทางการแล้ว โดย 7 ประเทศมาจากกลุ่มประเทศใน ECCU ส่วนอีก 2 ประเทศที่เหลือ ได้แก่ บาฮามาส และ ไนจีเรีย นอกจากนี้ยังมีอีก 21 ประเทศที่ยังคงอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาโครงการนำร่อง และ อีกกว่า 40 ประเทศ รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาที่กำลังดำเนินการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีเพิ่มเติม