เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาสภาผู้แทนราษฎรแห่งสหรัฐอเมริกาได้ผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ของประธานาธิบดีไบเดน โดยได้มีการส่งร่างกฎหมายดังกล่าวไปยังวุฒิสภาเพื่อลงคะแนนเสียงแล้ว ส่วนที่โดดเด่นบางส่วนของร่างดังกล่าวได้แก่ การเพิ่มงบประมาณสำหรับการแจกจ่ายวัคซีนและโรงเรียน, การเพิ่มทุนโดยตรงไปยังรัฐอื่น ๆ และท้องถิ่น, และรวมถึงการแจกเงินฟรีมูลค่า $1,400 ให้กับชาวอเมริกันซึ่งมีรายได้น้อยกว่า $75,000 ต่อปี ในขณะที่คนอเมริกันต้องการความช่วยเหลืออย่างยิ่ง แต่สิ่งนี้ก็นำมาซึ่งประเด็นที่ใหญ่กว่าเกี่ยวกับทิศทางที่ระบบการเงินกำลังมุ่งหน้าไปในอนาคต การแจกเงิน การแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยตรงเป็นหนึ่งในคำมั่นสัญญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากพรรคเดโมแครตในช่วงการเลือกตั้งในจอร์เจีย และดูเหมือนว่ารัฐบาลสหรัฐฯกำลังเริ่มที่จะทำตามสัญญาต่อประชาชนของพวกเขาแล้ว ร่างกฎหมายดังกล่าวที่รวมถึงการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น $15 ต่อชั่วโมงได้ถูกส่งผ่านในสภาด้วยการลงคะแนนเสียง 219 ต่อ 212 ในพรรค แม้จะได้รับการสนับสนุนจากผู้ลงคะแนน 76% แต่ก็ไม่มีตัวแทนจากพรรครีพับลิกันที่ลงคะแนนเสียงให้กับร่างกฎหมายนี้เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนี้ยังมีสมาชิกพรรคเดโมแครตสองคนที่เกิดการเสียงแตก ทำการโหวตไม่เห็นด้วยจำนวน 2 คน อย่างไรก็ตามร่างดังกล่าวนี้ดูเหมือนว่าไม่น่าจะเป็นฉบับที่ประธานาธิบดี Biden จะลงนามอนุมัติในทันที เนื่องจากว่ามันจะต้องมี อุปสรรคในด้านการโหวตไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับนโยบายของพรรคเดโมแครตเกี่ยวกับการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อไม่ให้ผ่านวุฒิสภาและมีความเป็นไปได้สูงที่บทบัญญัติเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำจะถูกลบออก และตีกลับร่างดังกล่าวไปเพื่อให้ได้รับการโหวตอีกครั้งเพื่อตัดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก่อนที่จะถูกลงส่งไปให้นาย Biden เซ็นอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง ตอนนี้นาย Biden ก็ได้เริ่มทำงานเป็นประธานาธิบดีมากกว่าหนึ่งเดือนแล้วและชาวอเมริกันหลายคนก็กำลังสงสัยว่าพวกเขาจะได้เงินฟรีดังกล่าวนี้เมื่อไร หากร่างกฎหมายการเยียวยาล่าสุดนี้ถูกอนุมัติ มันจะกลายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับที่ 3 ที่รัฐบาลสหรัฐฯเสนอ นับตั้งแต่เริ่มการระบาดของโควิด 19 โดยมันมีขึ้นหลังจากร่างเดือนธันวาคมปี 2020 ซึ่งมีการขยายการเลื่อนการชำระหนี้ของเงินกู้ PPP, เพิ่มการแจกเงินโดยตรงให้กับชาวอเมริกันจำนวน $600, นอกเหนือจากกฎหมาย CARES Act มูลค่า 6.2 ล้านล้านดอลลาร์ก่อนหน้าที่ถูกผ่านไปเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามการพิมพ์เงินออกมาอย่างต่อเนื่องของ Fed นั้นกำลังทำให้หลาย ๆ ฝ่ายเริ่มกลัวว่าจะมีผลกระทบในระยะยาวตามมา เครื่องพิมพ์เงินส่งเสียงดัง Brrrr นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมานั้นมีมูลค่าเกือบ 4 ล้านล้านเหรียญ ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินทั่วโลก นั่นหมายควา มว่าเงินดอลลาร์สหรัฐเริ่มสูญเสียมูลค่าไปเรื่อย ๆ ไม่นานหลังจากที่มีการลงนามในกฎหมายดังกล่าว โดยตั้งแต่เดือนมีนาคมของปีที่แล้วดอลลาร์สหรัฐลดลง 10.5% และ 10.3% ของเงินปอนด์อังกฤษและยูโรตามลำดับ แม้ว่าร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่จะมีมูลค่าของเงินที่เล็กกว่ามาก แต่ก็ยังอาจมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อดอลลาร์ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามความกังวลเกี่ยวกับการลดค่าเงินดอลลาร์ไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้ใช้ Cryptocurrency ได้ชี้ให้เห็นปัญหามานานแล้วว่ารัฐบาลสามารถพิมพ์เงินออกมาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด Bitcoin และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ นั้นมีจำนวนอุปทานที่จำกัด ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้นักลงทุนสถาบันเริ่มแห่กันมาซื้อ Bitcoin กันอย่างช้า ๆ ในขณะที่ประเทศเศรษฐทั่วโลกยังคงค่อย ๆ ฟื้นตัว ดูเหมือนว่า
กดอ่านข่าว สภาสหรัฐฯผ่านร่างอัดฉีดเม็ดเงินมูลค่า 1.9 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ต่อที่ Siam Blockchain