โดย Barani Krishnan
Investing.com - เมื่อหาเหตุผลที่เป็นไปได้ทั้งหมดในขณะที่ฤดูใช้รถในช่วงหยุดยาวใกล้สิ้นสุดลงนั้น จะมีปัจจัยแวดล้อมอะไรที่จะช่วยหนุนราคาน้ำมันได้อีก
คำตอบน่าจะเป็นการส่งออกของผลิตภัณฑ์น้ำมันดิบและน้ำมันของสหรัฐฯ นั่นเอง แต่หน่วยงานไหนที่จะได้กำไรมากที่สุดจากการส่งออกเหล่านี้ระหว่าง อุตสาหกรรมน้ำมันของสหรัฐฯ หรือ OPEC และจะจบลงอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมและบทวิเคราะห์ที่คุณกำลังติดตามอยู่เท่านั้น
หากว่าเป็นเรื่องของฝั่งขาขึ้นหรือฝั่งวิจารณ์ของรัฐบาลไบเดน เรื่องราวจะมีอยู่ว่า ตลาดเอเชียกำลังซื้อน้ำมันดิบจากสหรัฐฯ ในราคาถูกเป็นจำนวนมากเพราะว่าฝ่ายบริหารปล่อยอุปทานรายวันจากคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงกลยุทธ์หรือ SPR
เหตุผลที่มีความต้องการจากเอเชียเป็นจำนวนมาก เนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง 5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหรือมากกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันดิบเบรนท์ของลอนดอน ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานระดับโลกตามบทความนี้ และเชื่อว่าส่วนลดที่ได้มานั้นเป็นเพราะความพยายามในการต้องการปล่อยน้ำมันดิบ SPR
ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่ใกล้เคียงกับความจริงเลย ตั้งแต่ราคาน้ำมันดิบ WTI กลายเป็นเกณฑ์มาตรฐานระดับโลกในปี 2010 พรีเมี่ยมของน้ำมันดิบเบรนท์มักจะถูกเปรียบเทียบกับน้ำมันดิบสหรัฐฯ เสมอ แม้ว่าเกณฑ์ราคาของทั้งสองจะไม่ต่างกันมาก โดยจะมีส่วนต่างระหว่างกันอยู่ที่ ประมาณ 5 ดอลลาร์ (สัปดาห์นี้ถึง 7 ดอลลาร์) ซึ่งเป็นเรื่องปกติของเกณฑ์มาตรฐานทั้งสอง แต่การที่จะตรึงราคาไว้ที่ SPR นั้นดูจะเป็นเรื่องเหลวไหล
โดยยังมีปัจจัยหนุนจากทีมบริหารของไบเดนที่ได้เปิดเผยตัวเลขที่บันทึกไว้ของ SPR ที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยมีกลุ่ม OPEC ที่ต้องการให้สหรัฐฯ ปล่อยน้ำมันในคลังสำรองฉุกเฉินออกไป เพื่อที่กลุ่มสามารถเข้าควบคุมราคาน้ำมันโลกได้หลังจากที่ตัวเลขน้ำมันในคลังของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับ "ภาวะฉุกเฉินที่แท้จริง"
และแทนที่จะส่งสัญญาณไปยังตลาดว่าพวกเขาจะยอมทำตามความปรารถนาของไบเดนที่จะเพิ่มการผลิต แต่ซาอุดิอาระเบียกำลังวางรากฐานสำหรับการลดการผลิตในอนาคตเพราะพวกเขาคาดการณ์ว่าสถานการณ์อุปทานน้ำมันทั่วโลกจะพลิกจากการขาดดุลเป็นส่วนเกิน ซึ่งเมื่อ้างถึงเหตุผลนี้ก็ทำให้กลุ่มต้องตัดผลผลิตน้ำมันในอนาคตลง OPEC คาดการณ์ว่าจะสามารถลดปริมาณน้ำมันดิบที่ต้องจัดหาในไตรมาสที่สามลง 1.24 ล้านบาร์เรลต่อวันเป็น 28.27 ล้าน
และเรื่องราวที่เหลือจะดำเนินต่อไปเช่นนี้ กล่าวคือ ซาอุดิอาระเบียที่ได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย ที่ถือว่าเป็นประเทศพันธมิตรที่ดีในกลุ่ม OPEC+ นั้น จะสามารถควบคุมราคาพลังงาน ราคาอาหาร และอัตราเงินเฟ้อโดยทั่วไปได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังจะทำให้สหรัฐฯ อ่อนแอเพิ่มขึ้นในแง่ของเศรษฐกิจและจากจุดยืนด้านความมั่นคงของชาติ
การปล่อยน้ำมันจากคลังกลยุทธ์ SPR จะสิ้นสุดในเดือนตุลาคม และเมื่อความต้องการใช้น้ำมันในฤดูหนาวสูงขึ้น สหรัฐฯ จะยิ่งตึงเครียดมากขึ้นไปอีก
ตัวเลขน้ำมันของสหรัฐจนถึงขณะนี้ไม่ได้สร้างความสบายใจให้แก่ตลาดสักเท่าไหร่ โดยอุปทานน้ำมันดิบทั่วไปอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปี 5% น้ำมันดิบคงคลัง SPR อยู่ที่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 1985 ผลิตภัฑ์กลั่นคงคลังอยู่ที่ 24% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีและอุปทานน้ำมันเบนซินอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยห้าปีประมาณ 6%
และนี่คือบทความสำหรับนักลงทุนตลาดหมี
อย่างที่เรากล่าวไว้ตอนต้น ฤดูขับรถของสหรัฐฯ ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว และคาดว่าความต้องการเชื้อเพลิงจะลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากนี้ เนื่องจากเด็ก ๆ ในอเมริกาจะเริ่มกลับไปเรียนในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า เพื่อเริ่มปีการศึกษาใหม่ในเดือนกันยายน ทำให้การเดินทางบนท้องถนนเพื่อความสนุกล้วนเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขานึกถึงในเวลานี้
สินค้าคงคลังน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ร่วงลงอย่างน่าตกใจ โดยแตะห้าล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว แต่สินค้าคงคลังน้ำมันดิบรายสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกือบ 10 ล้านในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา
การส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ แตะระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดอย่างเหลือเชื่อที่ 2.11 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยนับตั้งแต่ 1.96 ล้านบาร์เรลที่ส่งออกไปในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 7 มกราคม
เพื่อให้เกิดความสมดุลกับผลกระทบที่เกิดจากการส่งออกน้ำมันดิบที่ตกต่ำ การจัดส่งน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1.13 ล้านบาร์เรลต่อวันในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2018
“หลังจากที่น้ำมันทำขาลงต่อเนื่อง เพราะอุปสงค์จากผู้บริโภคลดลง ส่งผลให้เหลือเพียงสิ่งที่สามารถจับต้องได้ในตอนนี้คือการส่งออกน้ำมันดิบ ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3 ล้านถึง 4 ล้านบาร์เรลต่อสัปดาห์และต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายเดือน” จอห์น คิลดัฟฟ์ หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งกองทุนป้องกันความเสี่ยงด้านพลังงานจากนิวยอร์ก Again Capital กล่าว “ดังนั้นนักลงทุนระยะยาวในตลาดน่าจะค่อนข้างน่ากังวลหากตัวเลขการส่งออกยังคงอยู่ต่ำเหมือนกับสัปดาห์ที่แล้ว”
โดยการลดลงของตัวเลขการส่งออกน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้ว “อาจเป็นความผิดปกติ” คิลดัฟฟ์ผู้ซึ่งตั้งข้อสังเกตว่าการส่งออกน้ำมันเบนซินที่พุ่งสูงขึ้นนั้นจะทำให้ตลาดผ่อนคลายลง "แม้ว่าจะไม่มีการรับประกันว่าจะเกิดขึ้นแบบนั้นทุกสัปดาห์"
แม้ว่านักลงทุนฝั่งขาขึ้นจะทำกำไรได้มากจากตัวเลขที่น้ำมันเพิ่มขึ้น 180 ล้านบาร์เรล หรือหนึ่งล้านบาร์เรลต่อวัน โดยที่ตั้งเป้าหมายการปล่อยน้ำมันออกจากคลังกลยุทธ์ SPR ทุกวันระหว่างเดือนพ.ค.และต.ค.การผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ เองก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
ผลผลิตน้ำมันของสหรัฐฯจากแหล่งหินน้ำมัน (Permian basin ) ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัสและในนิวเม็กซิโกเพิ่มขึ้น 78,000 บาร์เรลต่อวัน และทำสถิติ 5.445 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนสิงหาคม ข้อมูลจาก EIA ที่กล่าวในรายงานการผลิตลงวันที่ 18 เดือนกรกฎาคม
EIA กล่าวว่าผู้ผลิตได้เจาะเพิ่ม 938 บ่อ มากที่สุดนับตั้งแต่มีนาคม 2020 และสามารถเจาะบ่อจากแหล่งหินน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดได้ทั้งหมด 964 บ่อในเดือนมิ.ย ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2021
และยังเหลือบ่อที่ยังขุดเจาะไม่เสร็จสมบูรณ์ (DUC) ลดลง 26 บ่อรวมเป็น 4,245 ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ธันวาคม 2013 ตามข้อมูลย้อนหลังของ EIA จำนวน โดย DUC ที่มีอยู่ลดลงเป็นเวลา 24 เดือนติดต่อกัน
ไม่ใช่แค่อุปทานของสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น แต่อุปทานน้ำมันที่มากขึ้นก็ส่งผลต่อตลาดทั่วโลกเช่นกันในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา
ผลผลิตน้ำมันของกลุ่ม OPEC เพิ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมสู่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 จากการสำรวจของรอยเตอร์สพบว่า ขณะที่กลุ่มได้ผ่อนปรนการควบคุมการผลิตภายใต้ข้อตกลงกับพันธมิตรและผู้ส่งออกชั้นนำอย่างซาอุดิอาระเบียก็ยังได้ยุติการลดอุปทานโดยสมัครใจ
กำลังการผลิตของ OPEC อยู่ที่ 26.72 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) จากการสำรวจพบว่าตัวเลขเพิ่มขึ้น 610,000 บาร์เรลต่อวันจากประมาณการที่แก้ไขในเดือนมิถุนายน ผลผลิตของ OPEC เพิ่มขึ้นทุกเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2020 ยกเว้นในเดือนกุมภาพันธ์
อุปสงค์ในประเทศสำหรับน้ำมันเบนซินนั้นไม่แน่นอนในสหรัฐอเมริกาในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่การเบิกถอนน้ำมันในคลังสินค้าน้ำมันเบนซินของสหรัฐฯ ในสัปดาห์ที่แล้วใกล้ถึง 5 ล้านบาร์เรลคงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีในตลาด แต่ก็มีกาเพิ่มหลายล้านบาร์เรลเช่นกันในสัปดาห์ก่อนเนื่องจากราคาหน้าปั๊มที่สูงเป็นประวัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นมมากกว่า 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอน
ในขณะที่ราคาน้ำมันในปั๊มน้ำมัน เฉลี่ยแล้วลดลงมาอยู่ที่ 3.99 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ต่ำกว่า 4 ดอลลาร์ในรอบหลายเดือน แต่น้ำมันดิบของสหรัฐฯ เองอาจกลับมาที่ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลหลังจากการเทขายออกในสัปดาห์ที่แล้วซึ่งต่ำกว่า 90 ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบที่แกว่งตัวขึ้นอาจส่งผลให้ราคาหน้าปั๊มเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อความต้องการอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ฤดูกาลขับรถในฤดูร้อนของสหรัฐฯสิ้นสุดลง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยนี้ นักลงทุนฝั่งขาขึ้นของตลาดน้ำมันอาจต้องคิดเมื่อต้องการผลักดันราคาน้ำมันดิบให้สูงขึ้น
โดยปกติในช่วงเวลานี้ของปี ภัยคุกคามจากพายุเฮอริเคนในชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ จะใกล้เข้ามาและรุนแรง ซึ่งจะคุกคามการผลิตและกิจกรรมอื่น ๆ บนแท่นขุดเจาะพลังงานที่นั่น
จนถึงปีนี้ พายุเฮอริเคน Invest 97L ได้ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเขตร้อนในสัปดาห์นี้โดยไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงใด ๆ ดูเหมือนว่าฤดูกาลของเฮอริเคนจะยังมาไม่ถึง และสัญญาณของพายุในปี 2022 ดูเหมือนว่าจะไม่สร้างความรุนแรงมากนัก
ต่างจากปีก่อนหน้าที่พายุเฮอริเคน Ida ที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ที่เป็นสาเหตุให้ต้องปิดแท่นการผลิต ก๊าซธรรมชาติ มากกว่า 25% และเกือบ 17% ของการผลิตน้ำมันในสหรัฐอเมริกา
Gelber & Associates ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านพลังงานในฮูสตันกล่าวว่าหากพายุเฮอริเคนก่อตัวในอ่าวเม็กซิโกและคุกคามการดำเนินงานของโรงงานพลังงานชายฝั่งที่นั่น อาจส่งผลกระทบสำคัญต่อการผลิต แต่กล่าวเพิ่มเติมว่า
“ การดำเนินการของแท่นผลิตในเขตร้อนโดยรวมยังค่อนข้างเงียบ โดยมีกิจกรรมบางที่ทำให้เกิดความวุ่นวายเล็กน้อยในคิว [sic] แต่ ณ เวลานี้ ไม่มีอะไรที่เป็นสาระสำคัญที่จะเป็นปัญหา”
มุมมองต่อความต้องการน้ำมันถูกแยกออกเป็นสองส่วนระหว่าง มุมมองจากกลุ่ม OPEC ที่หลายคนคิดว่ากลุ่มตั้งใจคาดการณ์ถึงอุปสงค์ที่ลดลงเพื่อลดการผลิต และสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศซึ่งคาดการณ์ว่าอุปสงค์สูงขึ้นแต่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอลง
Ole Hansen หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Saxo Bank กล่าวว่า "เราเห็นการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าจะเป็นการชะลอตัวครั้งใหญ่ตามที่คาดการณ์ไว้หรือไม่" "อุปสงค์จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่อุปทานยังคงเป็นปัญหาหลัก"
โดยปัจจัยที่เป็นแรงหนุนให้กับขาลงในตลาดน้ำมันคือ มาตรการควบคุมโควิดในจีน ผลผลิตของประเทศลิเบีย การขายน้ำมันรัสเซียอย่างต่อเนื่องแม้จะถูกคว่ำบาตรอยู่ก็ตาม ล้วนน่าสนใจไม่แพ้กับเรื่องราวของตลาดกระทิง
น้ำมัน: ราคาและกิจกรรมในตลาด
น้ำมันดิบ WTI ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ทำการซื้อขายขั้นสุดท้ายที่ 91.88 ดอลลาร์ หลังจากปิดกรอบราคาลงที่ 2.25 ดอลลาร์หรือ 2.3% ที่ 92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยก่อนหน้านี้แตะระดับสูงสุดที่ 94.81 ดอลลาร์
สำหรับสัปดาห์ WTI เพิ่มขึ้น 3.4% ชดเชยการลดลง 10% ของสัปดาห์ที่แล้วบางส่วน
น้ำมันดิบ เบรนท์ ซึ่งเป็นเกณฑ์มาตรฐานสำหรับน้ำมันดิบทั่วโลกที่ซื้อขายในลอนดอน ทำการซื้อขายขั้นสุดท้ายที่ 98.01 ดอลลาร์ หลังจากปรับราคาในเซสชั่นอย่างเป็นทางการลงไปที่ 1.45 ดอลลาร์ หรือ 1.5% เป็น 98.15 ดอลลาร์ หลังจากทำระดับสูงสุดระหว่างวันที่ 100.08 ดอลลาร์
น้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 3.4% ในสัปดาห์หลังจากการร่วงลง 14% ของสัปดาห์ที่แล้ว
น้ำมัน: แนวโน้มทางเทคนิคของ WTI
Sunil Kumar Dixit หัวหน้านักยุทธศาสตร์ด้านเทคนิคของ SKCharting.com กล่าวว่า ตราบใดที่ WTI ยังคงอยู่เหนือ 88.43 ดอลลาร์ เทรดเดอร์จะมองหาการทดสอบ Simple Moving Average 200 วัน ที่ 95.46 ดอลลาร์และ Fibonacci 50% ที่ระดับ 96.47 ดอลลาร์
“หากเหนือระดับนี้ คาดว่าจะมีการขยับขึ้นไปสู่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โปเนนเชียล 50 วันที่ 99.90 ดอลลาร์”
แต่ Dixit ยังเตือนว่าตลาดสามารถพลิกกลับเป็นขาลงได้
“การปฏิเสธจาก SMA 200 วันที่ 95.46 ดอลลาร์และ EMA 50 วัน 99.90 ดอลลาร์ จะทำให้กลับมาที่จุดอ่อนของตลาดและดันราคาลงเพื่อทดสอบพื้นที่แนวรับอีกครั้งที่ 88 และ 87 ดอลลาร์ โดยสามารถขยายไปถึง Bollinger Band ระดับกลางรายเดือนที่ 81 ดอลลาร์ ก่อนที่จะตกลงไปที่ระดับ Fibonacci 78.6% ที่ 77 ดอลลาร์”
ทองคำ: ราคาและกิจกรรมในตลาด
สำหรับราคาเริ่มต้นซื้อขายในวันศุกร์ ทั้งสัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำในตลาด Comex ของนิวยอร์กและราคาทองคำแท่งกลับมาที่โซน 1,800 ดอลลาร์เป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกัน
สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ เดือนธันวาคมของตลาดโคเม็กซ์ ทำการซื้อขายขั้นสุดท้ายที่ 1,818.40 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากปิดที่ 1,815.50 ดอลลาร์เพิ่มขึ้น 8.30 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ในวันเดียวกัน สำหรับสัปดาห์เพิ่มขึ้นเกือบ 1.5%
ราคา สปอต ทองคำแท่งที่เทรดเดอร์บางรายมีการติดตามอย่างใกล้ชิดกว่าสัญญาซื้อขายล่วงหน้า อยู่ที่ 1,803.64 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 14.10 ดอลลาร์ หรือ 0.8%
ทั้งทองคำในตลาดโคเม็กซ์และราคาสปอตทำกำไรได้มากกว่า 5% ในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
“นี่จะเป็นการทดสอบที่น่าสนใจสำหรับทองคำ เนื่องจากราคา 1,800 ดอลลาร์อาจเป็นจุดหมุนที่น่าสนใจจากมุมมองทางเทคนิค หากไม่มีความต้องการเห็นราคาขยับขึ้นไปอีกแต่ท้ายที่สุดแล้ว กรณีของทองคำขาขึ้นยังคงค่อนข้างน่าสนใจ” เครก เออร์แลม นักวิเคราะห์ออนไลน์กล่าว แพลตฟอร์มการซื้อขาย OANDA
“ความจริงที่ว่ามันยังคงรักษาผลกำไรจำนวนมากโดยไม่มีการแก้ไขที่สำคัญใด ๆ อาจบ่งชี้ว่ายังคงมีความต้องการอยู่ โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวลือที่เกี่ยวกับการผ่อนคลายทางการเงิน” เออแลมกล่าวเสริม
ทองคำทำกำไรหลังจากค่าเงินดอลลาร์ที่เคลื่อนไหวผกผันกับทองคำอ่อนค่าลงในสัปดาห์นี้ เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ลดลง
CPI ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรวัดเงินเฟ้อที่เป็นสากลมากที่สุด พบว่าสหรัฐฯ เติบโตเป็นศูนย์ในเดือนกรกฎาคม หลังจากเพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนมิถุนายน ในช่วงปีที่ผ่านมาถึงเดือนที่แล้ว ส่งผลให้ตัวเลขCPI ก็ชะลอตัวเช่นกัน โดยขยายตัว 8.5% จาก 9.1% ก่อนหน้า
ข้อมูล ดัชนีราคาผู้ผลิต ของสหรัฐฯ ลดลง 0.5% ในเดือนก.ค. ตอกย้ำประเด็นเงินเฟ้อที่ถอยจากระดับสูงสุดในรอบ 4 ทศวรรษ
ค่าเงิน ดอลลาร์ ร่วงลงในสัปดาห์นี้ แม้ว่าเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนกล่าวว่าการชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในเดือนก.ค. ไม่เพียงพอที่จะผ่อนคลายนโยบายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ทอง: แนวโน้มราคา
ราคาทองคำต้องทะลุระดับสูงสุดที่ 1,814.36 ดอลลาร์ของเดือนก่อนหน้าเพื่อเป็นแรงผลักดันไปยังโซนบรรจบกันของเส้น EMA 50 สัปดาห์ที่ 1,827 ดอลลาร์ และเส้น SMA 100 สัปดาห์ที่ 1,828 ดอลลาร์ Dixit จาก SKCharting กล่าว
ตามมาด้วยระดับ Fibonacci 78.6% ที่ 1,835 ดอลลาร์ และ Bollinger Band ระดับกลางรายสัปดาห์ที่ 1,838 ดอลลาร์ Dixit กล่าวเสริม
การอ่านสุ่มรายวันที่ 93/86 ทำให้เกิดการทับซ้อนในเชิงบวกที่เกิดขึ้นใหม่เหนือพื้นที่ซื้อมากเกินไปที่ ราคาสปอตทองคำ ในขณะที่การอ่านสุ่มรายสัปดาห์ที่ 59/44 ยังคงมีแง่บวกที่แข็งแกร่ง Dixit กล่าว
“เทรดเดอร์ขาย่อจะมองหาการย่อซื้อไปยังโซนแนวรับที่ 1,785-1,775 ดอลลาร์ และตั้งเป้าที่ 1,828-1,838 ดอลลาร์”
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: Barani Krishnan ไม่ได้ถือครองสินค้าโภคภัณฑ์และหลักทรัพย์ที่เขาเขียนถึงในบทความนี้