ในคืนที่ผ่านมา ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐปรับตัวบวกขึ้นต่อ 3.4% จากข่าวดีมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นแรงส่งจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ปรับตัวขึ้นถึง 10.8% มาที่ระดับ 26.2 ดอลลาร์/บาร์เรล ด้วยความหวังว่ากลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ของโลก จะสามารถหาข้อตกลงในการลดกำลังการผลิตได้ในวันนี้
View Updates: "คงมุมมอง" ราคาน้ำมันดิบ Brent เฉลี่ยปี 2020 ที่ระดับ 35 ดอลลาร์/บาร์เรล (-38%y/y)
ขณะเดียวกันความชัดเจนทางการเมืองก็สูงขึ้นเมื่อนายเบอร์นี่ แซนเดอร์ส ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสังกัดเดโมแครต ถอนตัวจากการแข่งขัน ทำให้เหลือเพียงนายโจ ไบเดน ที่จะชิงตำแหน่งประธานาธิบดีกับโดนัลด์ ทรัมป์ ช่วงปลายปีนี้
View Updates: "คงมุมมอง" ว่านายโจ ไบเดน จะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 46
ไม่เพียงเท่านั้น ในฝั่งนโยบายเศรษฐกิจ ก็เริ่มมีการเตรียมพร้อมเพื่อเปิดทำการภาคธุรกิจ พร้อมกับที่รัฐบาลกลางสหรัฐกำลังจะมีนโยบายการคลังประคองเศรษฐกิจเพิ่มเติม รวมกับฝั่งการเงิน ที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ส่งสัญญาณว่าอาจใช้นโยบายกำหนดระดับของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลหรือ Yield Curve Control ไปพร้อมกันด้วย
ซึ่งแตกต่างกับฝั่งของยุโรปที่ยังไม่สามารถหาข้อตกลงในการใช้นโยบายการคลังร่วมกันภายในภูมิภาคได้ ส่งผลให้ดัชนี Euro Stoxx 50 ปรับตัวลงเล็กน้อย -0.22%
อย่างไรก็ดี ฟากตลาดเงินดูจะไม่ได้หวือหวาเหมือนหุ้น โดยดอลลาร์แกว่งตัวบวกเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก และสกุลเงิน Commodity อย่าง รูเบิลรัสเซีย (RUB) ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) และเรอัลบราซิล (BRL) เป็นสามสกุลเงินที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่น 2.5-3.0% ในช่วงห้าวันทำการที่ผ่านมา
ฝั่งของเงินบาท ภาพรวมก็แข็งค่าขึ้นในระหว่างวันก็ซื้อขายในกรอบแคบลงด้วย ภาพดังกล่าวชี้ว่าปัญหาสภาพคล่องคลี่คลายลง และเงินบาทอาจผ่านจุดที่อ่อนค่าที่สุดของปีนี้แล้ว ระยะต่อไปต้องจับตาไปที่ความเสี่ยงการปรับฐานของตลาดหุ้น ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจะเป็นประเด็นสุดท้ายที่สามารถกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ากลับไปได้