ขอขอบคุณภาพประกอบจาก:CQG
- ราคาต้นทุนผู้ผลิตเนื้อหมูอยู่ในระดับต่ำ
- ปัญหาคอขวดทำให้เนื้อหมูขาดแคลนและผู้บริโภคต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้น
- ระดับตัวเลขที่ต้องจับตามองสำหรับตลาดซื้อขายเนื้อสุกรไม่ติดมันล่วงหน้า
- ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2008/2009 คือลางบอกเหตุแห่งหายนะของราคาเนื้อหมูและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
โรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรปี 2019 เคยสร้างปัญหาเนื้อสุกรขาดแคลนในประเทศจีนมาก่อน ในตอนนั้นมีคนมากถึง 1,400 ล้านคนที่ต้องได้รับผลกระทบจากปัญหานี้ ตลาดการค้าขายเนื้อจากเอเชียมายังประเทศแถบตะวันตกนั้นใหญ่มาก ในปี 2013 บริษัทสัญชาติจีนได้เข้ามาซื้อ Smithfield Foods ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเนื้อสุกรแนวหน้าของสหรัฐฯ และใช้เป็นช่องทางค้าขายเนื้อสุกรกับสหรัฐฯ เรื่อยมาจนกระทั่งโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรระบาดและเป็นหนึ่งในสาเหตุที่สหรัฐฯ ต้องเข้มงวดกับการค้ากับจีนมากขึ้นและยังเป็นส่วนหนึ่งของสงครามการค้าระหว่างทั้ง 2 ประเทศ
ในปี 2020 โรคยอดฮิตอย่างโควิด-19 และจำนวนยอดผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นสร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อตลาดซื้อขายเนื้อสุกรล่วงหน้าในสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน ราคาเนื้อสุกรล่วงหน้าลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ทศวรรษสร้างผลกระทบลูกโซ่ต่อสายพานการผลิตเนื้อสุกรอย่างมาก เมื่ออุปทานมีปัญหาแน่นอนว่าย่อมทำให้อุปสงค์ในเนื้อสุกรมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ในบางที่ขาดแคลนจนถึงขั้นต้องลดจำนวนการซื้อเนื้อหมู ยิ่งความต้องการเนื้อหมูเพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ยิ่งสะท้อนปัญหาซัพพลายขาดแคลนมากเท่านั้น
ราคาต้นทุนผู้ผลิตเนื้อหมูอยู่ในระดับต่ำ
โดยปกติแล้วช่วงที่ราคาเนื้อสัตว์ที่ก่อให้เกิดโปรตีนในสหรัฐฯ จะมีราคาสูงอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมยาวไปจนถึงช่วงต้นเดือนมิถุนายนเพราะระหว่างช่วงหน้าร้อนประชาชนสหรัฐฯ มีวัฒนธรรมนิยมการปิ้งบาร์บีคิว กินเบอร์เกอร์ ฮอตด็อก สเต็ก ไส้กรอกและเนื้ออื่นๆ ที่ผ่านมาตลาดมักจะอ้างอิงราคาในตลาดซื้อขายเนื้อสุกรล่วงหน้าเป็นตัวอ้างอิงราคากลางในการต่อรองซื้อขายเนื้อหมูในตลาด
รูปกราฟรายไตรมาสด้านบนแสดงให้เห็นว่าราคาซื้อขายเนื้อสุกรล่วงหน้าในปัจจุบันมีราคาอยู่ต่ำกว่า 45 เซนต์ต่อปอนด์ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากจุดต่ำสุดที่เคยทำไว้ที่ 37 เซนต์ต่อปอนด์สักเท่าไหร่ ในตอนนั้นเรียกได้เลยว่าเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 18 ปี เมื่อช่วงสิ้นเดือนมิถุนายน 2019 ราคาซื้อขายเนื้อสุกรล่วงหน้าเคยสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ 72.3 เซนต์ ในขณะที่ผู้บริโภคกำลังดีใจกับราคาเนื้อสุกรที่ถูกลงแต่เคยทราบไหมว่าตอนนี้เหล่าบรรดาผู้ผลิตกำลังนั่งน้ำตาตกกันอยู่เป็นจำนวนมาก?
ปัญหาคอขวดทำให้เนื้อหมูขาดแคลนและผู้บริโภคต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้น
ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 สร้างปัญหาคอขวดให้กับเหล่าซัพพลายเชน เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกพืชเพื่อนำไปเป็นอาหารให้สุกรต้องเจอปัญหาการถูกสั้งปิดโรงงานชั่วคราวเพราะพนักงานติดเชื้อไวรัส เมื่อพืชผักขาดแคลนย่อมส่งผลต่อการเลี้ยงสุกรและความขาดแคลนนั้นทำให้ราคาเนื้อหมูเพิ่มสูงขึ้นจนร้านขายปลีกบางแห่งอย่าง Costco ต้องสั่งจำกัดจำนวนการขายเนื้อสุกร ผลก็คือราคาเนื้อหมูและวัวแพงขึ้นในขณะที่ราคาในตลาดซื้อขายล่วงหน้ากลับอยู่ในระดับต่ำ
ระดับตัวเลขที่ต้องจับตามองสำหรับตลาดซื้อขายเนื้อสุกรไม่ติดมันล่วงหน้า
ราคาเนื้อสุกรที่ 37 เซนต์ต่อปอนด์กลายเป็นแนวรับสำคัญในตลาดซื้อขายเนื้อสุกรล่วงหน้า ณ ตอนนี้ จากกราฟรายวันด้านล่างจะพบว่าราคาเนื้อสุกรล่วงหน้าเคยลงไปต่ำกว่า 50 เซนต์ในช่วงเดือนสิงหาคม ตอนนี้กราฟมีแนวรับระยะสั้นอยู่ที่ 47.525 เซนต์ต่อปอนด์
ส่วนแนวต้านเราวิเคราะห์เอาไว้ที่จุดสูงสุดของวันที่ 8 มิถุนายนซึ่งอยู่ที่ 58.025 เซนต์, 58.95 เซนต์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของวันที่ 27 พฤษภาคมและที่ 67.575 เซนต์ของช่วงสิ้นเดือนเมษายนตามลำดับ นอกจากนี้จำนวนรวมของคำสั่งซื้อขายล่วงหน้าทั้งหมดลดลงจาก 300,000 สัญญาในเดือนกุมภาพันธ์เหลือ 227,009 สัญญาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วคิดเป็น 24% ของการปรับตัวลดลง สรุปก็คือไวรัสโคโรนาทำให้ปริมาณการผลิตเนื้อสุกรลดลงอย่างมีนัยสำคัญซึ่งสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับตลาดเนื้อวัวด้วยเช่นกัน
ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่ปี 2008/2009 คือลางบอกเหตุแห่งหายนะของราคาเนื้อหมูและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ
วิธีที่จะแก้ปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตกต่ำได้คือการลดกำลังการผลิตลง จากปัญหาโควิดที่เผชิญอยู่ ณ ขณะนี้เกษตรกรอาจเลือกที่จะลดปริมาณการส่งออกก่อนด้วยการลดจำนวนสัตว์ที่เลี้ยงลงในปี 2021 อย่างเช่นที่ในอดีตที่เราเคยทำมาแล้วในปี 2008 ซึ่งตอนนั้นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ก็ตกต่ำลงเช่นเดียวกัน
ปี 2009 กราฟราคาซื้อขายเนื้อสุกรไม่ติดมันล่วงหน้าลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ 43.05 เซนต์ ทันทีที่ผู้ผลิตลดปริมาณการผลิตลงก็ทำให้ความต้องการเนื้อหมูเพิ่มขึ้นจนกราฟสามารถขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $1.07475 เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2011 ในปี 2014 ก็มีเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันคือโรคท้องร่วงระบาดในสุกร (PED) จนทำให้ราคาเนื้อหมูขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดเอาไว้ที่ $1.33875
จากตัวอย่างที่ยกมาอธิบายแสดงให้เห็นว่าเนื้อสุกรหรือเนื้อวัวเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีความผันผวนในตัวอยู่แล้วยิ่งมาเจอกับไวรัสโควิด-19 อีกยิ่งทำให้ผันผวนเข้าไปใหญ่ วิธีที่จะลดความผันผวนนี้ได้มีแต่ต้องรอให้โลกเจอวัคซีนที่สามารถต้านไวรัสได้และสามารถแจกจ่ายให้กับประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดความเสี่ยงในตลาดค้าเนื้อโดยตรงอยู่ในตลาดซื้อขายสัญญาล่วงหน้า จากข้อมูลในตลาด iPath Series B Bloomberg Livestock Subindex Total Return ETN (NYSE:COW) ที่ติดตามราคาเนื้อมาโดยตลอดสรุปใจความสำคัญออกมาได้ดังนี้
COW คือตลาดขนาดเล็กที่มีแต่ตราสารหนี้ที่จะถูกรองรับโดยผู้ออก ETN เช่น ธนาคารสามารถเข้าไปทำการซื้อขายได้โดยมีมูลค่ารวมอยู่ในตลาดประมาณ $11.4 ล้านเหรียญสหรัฐ มีหุ้นที่เทรดอยู่ในตลาดแต่ละวันโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 38,636 หุ้นและมีอัตราการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ 0.45%
จากรูปจะเห็นว่ากราฟ COW มีราคาปิดอยู่ที่ $45.83 ต่อหุ้นในช่วงสิ้นปี 2019 หลังจากที่เคยลงไปสร้างจุดต่ำสุดเอาไว้ที่ $26.40 เมื่อเดือนเมษายนซึ่งสัปดาห์ที่แล้วราคาสามารถดีดกลับขึ้นมายัง $30.83 ได้และอยู่ไม่ห่างจากจุดต่ำสุดตามที่ได้รายงานไปมากนัก
COW คือตลาดดัชนีหนึ่งที่คุณสามารถใช้อ้างอิงกับการเทรดได้ ราคาที่แสดงออกมาแสดงสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานตลาดค้าเนื้อในตลาด หากว่าในอนาคตราคาของ COW ETN ลงมาอีกผมจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ตัดสินใจเข้าไปถือหุ้นในตลาดแห่งนี้ ตราบใดที่ปัญหาไวรัสยังไม่หายไป ผู้ผลิตลดปริมาณการผลิตเนื้อมากขึ้นก็ยิ่งทำให้ราคาเนื้อหมูและเนื้อวัวมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นโดยธรรมชาติ