► คาด PYLON (BK:PYLON) กำไรสุทธิ1Q63 อยู่ที่ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%YoY และ 9%QoQ เป็น New High
► ปัจจัยบวกจากการเร่งงานก่อสร้างโครงการศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
► คาด GPM ทรงตัว QoQ เนื่องจากสัดส่วนงานค่าแรงรวมของสูง
► คาดผลประกอบการอ่อนตัวลงในช่วง 2Q63 ก่อนจะเร่งตัวอีกครั้งใน 2H63 หลังทยอยเร่งเปิดประมูลงานก่อสร้างโครงการรัฐ
► มีจุดเด่นจาก Dividend Yield สูงเทียบกับอุตสาหกรรม ราว 6.5%
► แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท อิงค่า PER ที่ 16 เท่า
คาดกำไรสุทธิ 1Q63 ทำ New High
เราประเมินกำไรสุทธิ1Q63 อยู่ที่ 100 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25%YoY และ 9%QoQ เป็นสถิติสูงสุดใหม่ โดยผลประกอบการได้รับปัจจัยบวกจากรายได้จากการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น 52%YoY และ 5%QoQ เป็นผลมาจากการเร่งงานก่อสร้างในโครงการศูนย์ ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ใหม่มูลค่าราว 600 ล้านบาท อย่างไรก็ตามอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin; GPM) ปรับลดลง YoY จากลักษณะงานก่อสร้างส่วนใหญ่ที่รับรู้ใน 1Q63 เป็นงานค่าแรงรวมของ ซึ่งมี GPM ต่ำกว่าเทียบกับงานค่าแรงอย่างเดียว แต่ GPM ใน 1Q63 ยังทรงตัว QoQ ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยังทรงตัว YoY และ QoQ เช่น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย เป็นต้น
คาดผลประกอบการอ่อนตัวลงใน 2Q63 ก่อนจะเร่งตัวอีกครั้งใน 2H63
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q63 ลดลง QoQ จาก Backlog ในมือที่ลดลง มีเพียงงานขนาดกลางถึงขนาดเล็ก หลังเร่งงานในช่วง 1Q63 ที่ผ่านมา ประกอบกับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทยอยชะลอการก่อสร้างโครงการใหม่ออกไป อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า 2H63 จะกลับมาฟื้นตัวจากการเร่งรัดงานก่อสร้างภาครัฐฯ โดยเฉพาะโครงการทางด่วนเส้นทางพระราม 3- ดาวคะนอง และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา (มูลค่าโครงการรวม 1.5 แสนล้าน บาท) เราประเมินว่าผลประกอบการในช่วง 2Q63 จะเป็นจุดต่่ำสุดของปี 2563
แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท
ราคาหุ้นตอบรับเชิงบวกต่อความคาดหมายกำไรสุทธิ 1Q63 ที่แข็งแกร่ง ทำให้ราคาหุ้น ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 37% ในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา แม้ราคาหุ้นจะยังมี Upside มากกว่า 33.3% แต่เราเชื่อว่าระยะสั้นมีโอกาสถูกขายทำกำไรจากมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มผล ประกอบการ 2Q63 อย่างไรก็ตามมุมมองเรายังมีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม รับเหมาก่อสร้างในระยะยาวจาก
(1) การเร่งประมูลงานก่อสร้างภาครัฐ ที่ค้างท่ออยู่ ประมาณ 4.3 หมื่นล้านบาท ภายในปีงบประมาณ 2563 (สิ้นสุด ก.ย. 63)
(2) ต้นทุน ในการดำเนินงานที่ลดลง ตามราคาน้้ำมันที่ลดลง เป็นปัจจัยเพิ่มความสามารถในการ ทำกำไรขั้นต้น (GPM) ให้กับบริษัท และ
(3) ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงกว่าอุตสาหกรรม โดยเราคาดเงินปันผลในปี 2563 ไว้ที่ 0.27 บาท ให้อัตราผลตอบแทน จากเงินปันผล (Dividend Yield) อยู่ที่ 6.5% ทำให้เราแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 5.60 บาท อิงค่า PER ที่ 16 เท่า
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Asia Wealth Securities