ว่ากันว่า การดู GDP เปรียบเหมือนส่องกระจกมองหลัง
เพราะตัวเลขที่เราเห็นคือ ผลลัพธ์ของเดือน 4,5,6
ขณะที่ตอนนี้เราอยู่กลางเดือน 8 หรือผ่านไตรมาส 3 มาครึ่งทางแล้ว
แต่อย่างน้อย การที่เรามองกระจกหลัง ก็พอจะทำให้เราสามารถคาดการณ์ได้ว่า เส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร
ถ้าถนนที่เราขับผ่านมันดูขรุขระ เป็นหลุมเป็นบ่อ สองข้างทางดูเงียบๆ ไม่ค่อยมีผู้คนเท่าไหร่ เราก็พอจะเดาได้ว่า ข้างหน้าอาจจะไม่สดใสนัก ยังต้องขับรถระมัดระวังอยู่
แต่ถ้าถนนเส้นนี้ดูร่มรื่น ต้นไม้เขียวชอุ่ม ถนนราบเรียบ แลดูสะอาดตา ได้ยินเสียงนกร้องฮัมเพลง เราก็อาจพอเดาได้ว่า เส้นทางข้างหน้าดูสดใส
GDP Q2 ติดลบ 12.2% หนักแค่ไหน ?
เอาไปเทียบกับ ตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง -12.5% ก็ต้องบอกว่าหนักมาก
จากสมการ C+I+G+X-M ทุกเครื่องจักรติดลบหมด ยกเว้นการลงทุนและอุปโภคของภาครัฐบาล
การลงทุนภาครัฐบาล +12.5%
การอุปโภคภาครัฐบาล +1.4%
แต่ว่าตัว G มีสัดส่วนแค่ประมาณ 20% ของ GDP ซึ่งไม่พอที่จะดึงภาพรวมขึ้นมาได้
ตัว C หรือการบริโภคภาคเอกชนมีสัดส่วน 57% ของ GDP ติดลบ 6.6%
>> รถยนต์ อาหาร เสื้อผ้า เครื่องดื่ม ลดลงหมด (แอลกอฮอล์ลดหนักเพราะมีช่วงห้ามขาย ปริมาณขายเบียร์ -41%)
>> มีแค่ค่าน้ำไฟที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปริมาณการใช้ไฟภาคครัวเรือน +11% เพราะทำงานที่บ้าน Work From Home กันเยอะช่วงปิดเมือง
ตัว X หรือการส่งออก (รวมท่องเที่ยว) มีสัดส่วน 50% ของ GDP มูลค่าติดลบ 17.8%
>> นักท่องเที่ยวมาไม่ได้ อัตราการเข้าพักโรงแรมหายเกือบหมด
>> สินค้าส่งออกลดลงทั้งข้าว ยาง น้ำตาล รถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ แต่ยังมีที่เพิ่มได้คือ ปลากระป๋อง ผลไม้ อาหารสัตว์
ส่งออกไม่ดี ใช่ว่า นำเข้าจะดี ตัว M ก็ติดลบทางด้านมูลค่าไป 23.4% ทั้งนำเข้าน้ำมันลดลง วัตถุดิบ เครื่องจักรลดลง
ผลที่ตามมากคือ การลงทุนตัง I ก็ติดลบเช่นกัน โดยการลงทุนภาคเอกชน -15% และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่แค่ 53% เท่านั้นเอง
นี่คือภาพของกระจกหลังที่เราเห็นในเดือน 4-6
แล้วถ้ามองกระจกหน้าไปไกลๆ เราพอจะเห็นอะไรลางๆ บ้าง สิ่งที่ผมเห็น คือ
1.ภาพรวมน่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 2 แต่คงไม่ได้กระโดดกลับมาเป็นบวก ถ้าย้อนไปดูต้มยำกุ้ง จาก -12.2% มาเป็น -9.9%, -2.5% แล้วถึงจะมาเป็นบวกอ่อนๆ ในอีกไตรมาสถัดไป แปลว่า Q3’20 GDP ก็น่าจะติดลบ และยิ่ง
2.การบริโภค ที่เป็นหัวใจหลัก ก็ดูจะยังไม่กลับมาเท่าไหร่นัก ยอดขายรถยนต์ยังดูไม่ดี อาจเห็นการฟื้นอ่อนๆ บ้าง (เห็นเค้าว่ารถมือสองบางที่ขายดี) การบริโภคของกินของใช้ เห็นมีขึ้นจากการอั้น หรือ pent up demand แต่ก็ดูแผ่วลงไป และตัวเลขที่สำคัญคือ ตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อ GDP เท่ากับ 80.1% สูงสุดในรอบ 4 ปี ก็จะทำให้เกิดความระมัดระวังในการใช้จ่ายกันพอสมควร
3. การส่งออก เหมือนจะดีขึ้นในประเทศสหรัฐและจีน แต่ว่าสัดส่วนนักท่องเที่ยวที่คิดเป็นประมาณซัก 10% ของ GDP ยังไม่มีการเดินทางมากัน ก็คงเป็นตัวฉุดลงมา
4.การนำเข้าเครื่องจักร วัตถุดิบ ลดลง และกำลังการผลิตเกินครึ่งมานิดเดียว ก็คงคาดหวังตัว I มาช่วยคงไม่ไหว
5.แปลว่าหัวใจอยู่ที่ ตัว G ที่จะต้องลงทุน ให้เกิดการจ้างงาน ให้คนมีรายได้ ให้เกิดการบริโภค รวมถึงนโยบายต่างๆ ที่จะนำมาซึ่งเรื่องของการส่งออก หรือการท่องเที่ยวที่ปลอดภัย เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนไปได้ และค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาเหมือนเดิมในที่สุด
สิ่งที่ผมเล่าให้ฟัง คือ เรื่องของ GDP ซึ่งดูไม่สดใส แม้อาจจะพอบอกได้ว่า เราน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในกรณีที่ไม่มีการระบาดรอบสอง หรือต้องปิดเมืองอีก
แต่ถ้าเป็นเรื่องของการลงทุนนั้น อย่ายึดติดกับตัวเลขที่ติดลบว่าแย่แน่
ขอให้มอง GDP ด้วยความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และคาดการณ์ให้ได้ว่าจะมีปัจจัยอะไรเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นวัคซีน ปริมาณเงินในระบบ การลงทุนภาครัฐ การประมูลงาน NPL
จะมีหุ้นกลุ่มไหนที่คาดว่าจะฟื้นกลับขึ้นมาได้ และได้ประโยชน์ระหว่างทางบ้าง
และถ้าคุณหาเจอแล้วว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจ กระซิบบอกผมด้วยครับ
#GDP #วิตามินหุ้น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกทาง Stock Vitamins-วิตามินหุ้น