เรามีข่าวร้ายและข่าวดี 2 อย่างในคืนนี้
ข่าวร้าย - ตัวเลขผู้ติดเชื้อ Covid-19 ทั่วโลกกำลังจะแตะ 2 ล้านคนในคืนนี้
ข่าวดี - อัตราผู้ติดเชื้อใหม่ทั่วโลกกำลังลดลงอย่างเห็นได้ชัด จากหลักแสนลงมาเหลือ 7 หมื่นต่อวันแล้ว
คำถามต่อไปที่ตลาดกำลังพยายามจะหาคำตอบคือ #ประเทศไหนกำลังจะกลับมาเปิดประเทศเมื่อไหร่บ้าง ?
เพราะเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวได้มากแค่ไหน การใช้น้ำมันจะกลับมาเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าประเทศต่างๆจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้นเมื่อไหร่ ? โดยตอนนี้กำลังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ทั่วโลก
IMF หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกมารายงานในคืนนี้ว่าการปิดประเทศเก็บตัวอยู่บ้านทั่วโลกหรือ “The Great Lockdown”นั้น จะทำให้ #เศรษฐกิจโลกหดตัวมากที่สุดในรอบ 100 ปี ! ผลกระทบนั้นจะเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ The Great Depression ครั้งก่อนในปี 1930s
Recession กับ Depression นั้นต่างกันอย่างไร ?
Economic Recession = ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นั้นเกิดขึ้นเมื่อ GDP ติดลบอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2 ไตรมาสติดต่อกัน
Economic Depression = ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เกิดขึ้นเมื่อภาวะเศรษฐกิจนั้น GDP ติดลบยาวมากกว่า Recession เป็นปีๆ และผลกระทบนั้นหนักกว่าเพราะหลายครั้งที่เกิดขึ้นนั้น GDP อาจติดลบถึง 2 หลักหรือมากกว่า -10% เลยทีเดียว
ปีนี้จะเกิด Depression ขึ้นหรือไม่ ?
ในขณะนี้ยังไม่มีใครมองว่าจะเกิดขึ้น ถ้าทุกๆประเทศกลับมาเปิดประเทศได้ตามกำหนดและยังไม่เกิดวิกฤตคลื่นการผิดชำระหนี้
แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องหนี้เสียลูกโซ่เกิดขึ้นนั้น มีโอกาสสูงที่จะเกิด Depression เพราะว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกนั้นแทบจะต่ำติดดินจนยากที่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ตลาดแล้ว
IMF มอง GDP ปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?
เมื่อ 3 เดือนก่อนนั้นทาง IMF ได้มองว่าแต่ปีนี้โลกเราจะมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ +3.3% แต่ไวรัส Covid-19 นั้นใช้เวลาเพียง 3 เดือนทำให้ตัวเลขนั้นกลับจากบวกเป็นลบ
โดยทาง IMF นั้นได้ออกมาปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP กลายเป็น -3% แทนในปีนี้ หากเป็นจริงจะเป็นการหดตัวที่รุนแรงกว่าวิกฤต Subprime ในปี 2008 อีก
และที่แย่กว่านั้นคือ... มีนักวิเคราะห์หลายๆสำนักนั้นมองตัวเลขไว้แย่กว่าทาง IMF อีก โดยตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยที่เราเห็นนั้นอยู่ที่ประมาณลบ 3-5% ทำให้ตัวเลขของ IMF นั้นถือว่าค่อนข้างมองโลกในแง่ดีแล้วทีเดียว
ทาง Goldman Sachs ออกมากล่าวว่าในไตรมาสที่ 2 นี้ ที่ผลกระทบไวรัสน่าจะหนักสุดเหล่าประเทศที่โดนไวรัสกระทบนั้นจะมี GDP ติดลบในไตรมาสนี้สูงถึง -35% เลยทีเดียว !
Gita Gopinath หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ IMF กล่าวว่า “วิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งไหนๆ เพราะเรายังไม่มั่นใจกับตัวเลขมากเท่าไหร่เลย ผลกระทบนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ ยังมีความไม่แน่นอนด้านระยะเวลาอีกมาก #ความยากของการวิเคราะห์นั้นคล้ายกับว่าเรากำลังอยู่ในสงครามเลยทีเดียว
IMF ยังมองว่า GDP ปีหน้าจะดีดขึ้น +5.8%
เหตุผลเดียวที่ GDP ปีหน้าอาจจะกลับมาโตสูงสุดในรอบ 40 ปีนั้นก็เพราะว่าตัวเลขฐานของปีนี้จะต่ำมาก ทำให้การโตของปีหน้านั้นดูสูง แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ว่าตัวเลขของทาง IMF นั้นค่อนข้างจะมองโลกในแง่สดใส และการโตจะกลับมาเป็นปกติภายในปลายปีนี้
#ไม่ใช่ว่าผมไม่เห็นด้วยนะครับ แต่ทางนักวิเคราะห์ของ IMF เองก็ได้กล่าวไว้แล้วว่าทางเขาก็ไม่มั่นใจกับตัวเลขชุดนี้เท่าไหร่
IMF จะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไหม
ทาง IMF นั้นเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าประเทศไหนยังไม่สามารถกลับมาเปิดประเทศเป็นปกติได้นั้น กำลังจะมีหลายๆธุรกิจที่ต้องล้ม มีประชาชนหลายๆคนที่ไม่มีรายได้ หลายประเทศจะต้องการความช่วยเหลือทางการเงินแน่ๆ
ทาง IMF จึงกำลังจัดเตรียมเงินกู้ 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐออกมาเพื่อช่วยประครองเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก
แล้วความคืบหน้าของการเปิดประเทศต่างๆเป็นอย่างไรบ้าง ?
ทาง ฝรั่งเศสและ อินเดียนั้นได้ออกมาประกาศเลื่อนการปิดประเทศและการปิดเมืองออกไปแล้ววันนี้
ทางประเทศ ออสเตรียเริ่มทยอยให้ผู้คนออกมาใช้ชีวิตปกติได้มากขึ้นแล้ว
แต่ประเทศเหล่านี้ไม่ใช่ประเทศที่น่าจับตามองที่สุดครับ สหรัฐคือประเทศที่ทุกๆสายตาทั่วโลกกำลังจดจ้องในฐานะที่เป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจกว่า 1/4 ของโลกและกำลังมีปัญหาผู้ติดเชื้อมากที่สุดเช่นกัน
สหรัฐจะเปิดประเทศในเดือนหน้าตามกำหนดไหม ?
ทางด้านประธานาธิบดีทรัมป์ยังให้ความเห็นว่าอยากจะกลับมาเปิดตามกำหนด แต่ก็รอเรียกประชุมหารือกับผู้นำธุรกิจต่างๆ + ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุข + ผู้ว่าการรัฐต่างๆก่อน เพื่อที่จะได้ชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบของ #การปิดประเทศต่อเศรษฐกิจ และผลกระทบของ #การเปิดประเทศต่อการระบาดของเชื้อ ว่าอย่างไหนมีผลกระทบโดยรวมที่แย่กว่ากันจะได้ตัดสินใจได้ถูก
โดยเมื่อคืนนี้ได้มี #ประเด็นดราม่า เกิดขึ้นเล็กน้อยเมื่อ ทรัมป์ได้ออกมาทวีตว่าอำนาจในการพิจารณาการเปิดประเทศและธุรกิจให้กลับไปดำเนินตามปกตินั้นขึ้นอยู่กับประธานาธิบดีและรัฐบาลกลาง (ตัวเขาเอง) ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ว่าการรัฐต่างๆ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่หลายคนให้ความสนใจ เพราะเมื่อเกิดเหตุไวรัสระบาดและทรัมป์ยังไม่ออกคำสั่งป้องกันการระบาดต่างๆ ผู้ว่าการรัฐเหล่านี้กลับเป็นคนออกคำสั่งเองก่อนเพื่อช่วยลดผลกระทบของทุกวันนี้ลงมาได้
ตัวเลขการระบาดของสหรัฐนั้นดูดีขึ้นมากในคืนนี้การระบาดยังอยู่ต่ำกว่า 30,000 คนมาโดยตลอด และอัตราการทดสอบกำลังทำได้สูงขึ้นเรื่อยๆซึ่งถือเป็นข่าวดี
เมื่อสอบถามความเห็นของบุคคล 2 คนที่ผมให้ความเคารพในมุมมองและข้อมูลของเขา
1️⃣ นาย Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ก ได้แถลงวันนี้ว่าเริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกต่อเนื่องแล้วจริงๆ แต่ถ้าถามเขา เขาจะไม่อยากให้เปิดเมืองโดยเร็ว
2️⃣ ดร. แอนโทนี่ เฟาซี (Dr. Anthony Fauci) ผู้นำการวิจัยโรคติดเชื้อที่สถาบันสุขภาพแห่งชาติ (NIH) บอกว่าเขาขอดูตัวเลขในสัปดาห์นี้ก่อน ถ้าทุกอย่างยังนิ่งอย่างที่ผ่านมาในอาทิตย์นี้ เขาอาจจะโหวตเห็นด้วยกับการให้ธุรกิจกลับมาดำเนินได้ตามปกติ แต่ก็ต้องทำอย่างระมัดระวังและเคร่งครัดอยู่
สรุปมุมองของเศรษฐกิจโลก
ทางเรายังเชื่อว่าสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆเช่นเคยอย่างที่มองไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงปลายเดือนที่แล้วและกำลังจับตามองตัวเลขทั้งหมดอย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่มีวัคซีนเร็วๆนี้และการกลับมาใช้ชีวิตนั้นจะไม่เหมือนเดิม แต่ก็เชื่อว่าจุดที่แย่ที่สุดนั้นได้ถูกรับรู้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถทราบถึงอนาคตได้ทุกเรื่องทุกมุม จึงแนะนำให้มาติดตามการวิเคราะห์อย่างใกล้ชิดไปกับเราครับ หากเมื่อไหร่มีแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงทุกท่านจะใดไม่พลาดข้อมูลที่สำคัญในตลาด แนะนำให้กด Like ที่โพสต์บ่อยๆหรือกดตั้งค่า “เห็นโพสต์ก่อน” หรือ See First ไว้ได้เลยนะครับ ไม่งั้นทาง Facebook จะไม่ค่อยแสดงโพสต์ที่อัพเดทใหม่ที่ทันตลาด
บทวิเคราะห์นี้เผยแพร่ครั้งแรกที่เพจ Oil Trading - ทันตลาดน้ำมันและเศรษฐกิจโลกกับ KP