นอกจากจะเป็นสัปดาห์ส่งต่อของเดือนมิถุนายนไปยังกรกฏาคมแล้ว สิ่งที่นักลงทุนต้องจับดูในตลาดลงทุนสัปดาห์นี้ให้ดีเลยคือยอดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกาที่ตอนนี้เพิ่มขึ้นอย่างไม่สามารถจะทำเป็นเพิกเฉยได้อีกต่อไป ขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ขึ้นโดยไม่สนใจโลกภายนอกมาโดยตลอดกำลังจะได้รับการทดสอบอย่างเข้มข้นอีกครั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้วตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญเมื่อรัฐเท็กซัสประกาศหยุดมาตรการเปิดเมืองเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจบางแห่งภายในรัฐหลังจากที่ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นอย่างมาก รัฐฟอร์ริด้าซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแห่งที่มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็ได้ประกาศให้ผับบาร์ระงับการให้บริการชั่วคราวไปก่อนอีกเพื่อชะลอตัวเลขการติดเชื้อลง
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลดลงมากถึง 730.05 จุดหรือคิดเป็น 2.8% ในขณะที่ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลง 2.4% ส่วน NASDAQ ก็วิ่งลง 1.9% ถือเป็นการปรับตัวลดลง 2 จาก 3 สัปดาห์ล่าสุดของดัชนีหลักสหรัฐฯ ก่อนที่ความผันผวนนี้จะมาถึงเราก็ได้หยิบหุ้น 3 ตัวที่มีความน่าสนใจมาให้กับคุณผู้อ่านอีกเช่นเคย
1. Facebook
เฟสบุ๊ก (NASDAQ:FB) สื่อโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่กลับมาอยู่ในจุดสนใจของผู้คนอีกครั้งแต่คราวนี้กลับมาด้วยข่าวที่ดูแล้วไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
หุ้นของเฟสบุ๊กร่วงลงมากกว่า 8% เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มิถุนายนหลังจากที่ได้ทราบข่าวร้ายว่าบริษัทใหญ่ๆ ที่มีการฝากโฆษณาไว้บนเฟสบุ๊กประกาศพักโฆษณาบนโซเชียลแพลตฟอร์มนี้โดยให้เหตุผลว่าเฟสบุ๊กไม่มีมาตรการจัดการกับถ้อยคำวาจาที่พูดในเชิงเกลียดชัง (Hate Speech) ที่ดีพอ แม้ว่าเรื่อง Hate Speech จะมีอยู่บนเฟสบุ๊กมานานแล้วแต่บริษัทที่ตัดสินใจระงับการโฆษณาบนเฟสบุ๊กคราวนี้ไม่ใช่แบรนด์เล็กๆ ยกตัวอย่างเช่น Unilever (NYSE:UL), Coca-Cola Company (NYSE:KO), Levi Strauss (NYSE:LEVI), Honda (NYSE:HMC) และ Verizon (NYSE:VZ)
ความพยายามคว่ำบาตรครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายนโดยกลุ่มเรียกร้องสิทธิเช่น Anti-Defamation League, NAACP, Sleeping Giants, Color of Change, Free Press และ Common Sense ได้ขอให้บริษัทใหญ่ๆ ระงับการโฆษณาบนเฟสบุ๊กชั่วคราวในช่วงระหว่างเดือนกรกฎาคม หลังจากที่หุ้นเฟสบุ๊กร่วงลงทำให้ CEO ของบริษัทนายมาร์ก ซัคเคอร์เบิร์กต้องออกมาชี้แจงในทันทีว่าบริษัทจะมีมาตรการตรวจสอบคำพูดที่ส่งผลกระทบทางการเมืองและคำพูดที่มีเจตนาก่อให้เกิดความรุนแรง
ยอดขายของบริษัทเฟสบุ๊กในเดือนกรกฎาคมที่กำลังจะมาถึงนี้มีโอกาสลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากเรื่องการคว่ำบาตรนี้ ก่อนหน้าที่ข่าวนี้จะเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาหุ้นเฟสบุ๊กอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นต่อเนื่อง 18% แต่หลังจากวันศุกร์พบว่าราคาของหุ้นเฟสบุ๊กเหลือเพียง $216.08 ก่อนจบสัปดาห์ล่าสุด
2. Micron Technology
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ ไมครอน เทคโนโลยี (NASDAQ:MU) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าไมครอนเทคฯ จะมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $0.75 และมีตัวเลขกำไรรวมสุทธิอยู่ที่ $5,260 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในการอัปเดตข้อมูลตัวเลขยอดขายเมื่อเดือนพฤษภาคมพบว่าบริษัทไมครอนสามารถทำยอดขายได้ดี บริษัทได้บอกกับนักลงทุนของพวกเขาว่าไมครอนได้ผ่านช่วงเวลาที่ลำบากที่สุดของกลุ่มผู้ผลิตชิปความจำคอมพิวเตอร์มาแล้ว
ก่อนที่ไวรัสโคโรนาจะระบาด Wall Street เคยคาดการณ์ว่าหุ้นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเดือนเมษายนธนาคารสำหรับการลงทุนชื่อดังโกลด์แมน แซคส์ได้ปรับลดความน่าสนใจของหุ้นไมครอนลงไปจากระดับ “น่าซื้อ”เหลือเพียง “ธรรมดา” เท่านั้นโดยให้เหตุผล (ในตอนนั้น) ว่าผลกระทบจากโควิด-19 กระทบต่อการเติบโตของบริษัทในระยะยาว
แต่จากข้อมูลล่าสุดในเดือนพฤษภาคมของไมครอนอาจทำให้นักลงทุนต้องมองหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต้องการทำศูนย์กลางข้อมูล การทำระบบคลาวด์เพิ่มขึ้นสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย ล่าสุดหุ้นของไมครอน เทคฯ มีราคาปิดอยู่ที่ $48.49 ปรับตัวลดลงมากกว่า 1% ในวันศุกร์
3. Nike
หุ้นของบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชื่อดังอย่างไนกี้ (NYSE:NKE) อาจต้องตกอยู่ในสภาวะกดดันอีกครั้งในสัปดาห์นี้หลังจากมีรายงานว่ายอดขายประจำไตรมาสที่จะประกาศออกมาในเร็วๆ นี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากร้านตัวแทนจัดจำหน่ายส่วนใหญ่ในสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากพิษโควิด-19
เมื่อช่วงสิ้นเดือนพฤษภาคมพบว่ากำไรของไนกี้ลดลง 38% หรือตีเป็นเงินว่าหายไปประมาณ $7,380 ล้านเหรียญสหรัฐเหลือ $6,310 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมนักวิเคราะห์เคยประเมินว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นของไนกี้จะอยู่ที่ $0.51 แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเหลือเพียง $0.10 เท่านั้น
ก่อนหน้านี้หุ้นไนกี้สามารถกลับมาได้อย่างแข็งแกร่งจากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนมีนาคมแต่ล่าสุดก็ร่วงลงอีก 7% เมื่อวันศุกร์ มีราคาปิดอยู่ที่ $93.67 ถึงกระนั้นยอดขายสินค้าออนไลน์ e-commerce ของไนกี้ 75% ก็ช่วยอุ้มบริษัทให้สามารถทำตัวเลขกำไรมาได้เป็นอย่างดีในไตรมาสล่าสุด
อ้างอิงข้อมูลจากไนกี้พวกเขาเคยกล่าวว่าร้านตัวแทนจำหน่ายประมาณ 90% ทั่วโลกตอนนี้กลับมาเปิดให้บริการตามปกติแล้ว ส่วนยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทก็คาดการณ์ว่าตัวเลขที่ออกมาจะต้องดีขึ้น
ห้ามพลาด
♦หายนะของการลงทุนในหุ้น Luckin Coffee
♦TG Mission Possible การพลิกฟื้น TG ถือว่าเป็นงานยากมาก แต่เป็นไปได้