รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

อย่ามองข้ามสัญญาณการกลับตัวของตลาด

เผยแพร่ 27/05/2562 19:20
อัพเดท 02/09/2563 13:05

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่ช่วงเวลาที่ยากลำบากอีกครั้งเมื่อดัชนี S&P 500 และ NASDAQ Composite ยังคงร่วงลงอย่างต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกัน ส่วนดัชนี ดาว ร่วงลงติดกันมาเป็นสัปดาห์ที่ 5 แล้ว

หลายฝ่ายเห็นว่าสาเหตุหลักของเหตุการณ์นี้คือปัญหาความตึงเครียดในการเจรจาทางการค้าระระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แต่เมื่อพิจารณาจากตัวชี้วัดทางเทคนิคของตลาดสำคัญๆ กลับพบว่าปัญหาเป็นคนละเรื่องกัน

เครื่องมือชี้วัดที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่สำคัญมากตัวหนึ่งก็คือ ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) ได้ส่งสัญญาณมาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาแล้วว่าตลาดจะเกิดการฟื้นตัวขึ้นมาได้แรงในช่วงหลังคริสต์มาสเนื่องจากมีการเข้าซื้อกันอย่างหนาแน่นจนทำให้มูลค่าสูงเกินจริงและเสี่ยงที่จะมีการเทขายออก และ RSI ก็บอกสัญญาณของกำลังและทิศทางของตลาดในปัจจุบันได้อีกครั้งจริงๆ ว่าตลาดหุ้นจะยังไม่ดีขึ้น เช่นเดียวกันกับราคาปิดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาก็ทำให้ทราบว่าการกลับมาฟื้นตัวของตลาดคงจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

ตลาดทำผลงานขาขึ้นได้อย่างยอดเยี่ยมในช่วงหลังคริสต์มาสที่ผ่านมา แต่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะเกิดจุดกลับตัวขึ้นอีกเมื่อไหร่ นักลงทุนที่มีความรู้จะเข้าใจว่าเส้นแนวโน้มที่ดูดีเสมือนเพื่อนรักอาจจะเปลี่ยนมาลอบกัดคุณได้ทุกเมื่อเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม RSI จึงเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับนักลงทุน

SPX Daily TTM with RSI

เส้น RSI ของ S&P 500 ไปแตะ 73.5 ได้ในวันที่ 30 เมษายน

NASDAQ Composite Weekly TTM with RSI

เส้น RSI ของ NASDAQ ขึ้นไปแตะที่ 76 ก่อนหน้านั้นเพียงวันเดียว

สำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับการดูเส้น RSI ค่าที่เกิน 70 หมายถึงการเตือน ส่วนค่าที่เกิน 75 หมายถึงจุดสูงสุด และถ้าเกินกว่า 80 คือสัญญาณว่าต้องขาย

ในทำนองเดียวกัน หากเส้น RSI ลงมาต่ำกว่า 30 เป็นสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดต่ำสุดและยังชี้ว่ากำลังจะเกิดการฟื้นตัว

ค่า RSI ของ S&P 500 และ NASDAQ (รวมทั้งดาว) เข้าใกล้ 30 ในช่วงวันที่ 13 พฤษภาคมเนื่องจากมีการเทขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างหนัก แต่ก็ไม่ลงต่ำไปกว่านั้น

เมื่อปิดตลาดในวันศุกร์ RSI ของทั้ง 3 ดัชนียังอยู่ที่ราว 40 เศษ และไม่สามารถปรับตัวขึ้นสูงกว่านี้ได้โดยไปค้างอยู่ที่ราคาต่ำกว่าราคาสูงสุดช่วงปลายเดือนเมษายนราว 40% เศษ คาดว่าดัชนีแต่ละตัวจะยังคงลอยอย่างไรทิศทางไปจนกว่าจะเกิดปัจจัยเร่งที่แท้จริง เช่น เมื่อสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงทางการค้ากันเรียบร้อย

RSI และตัวชี้วัดทางเทคนิคอื่นๆ เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ใช้ในกลยุทธ์การซื้อขายผ่านทางคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน มีการใช้อัลกอริทึมที่ควบคุมการซื้อขายโดยอัตโนมัติได้ดีกว่าสมองของมนุษย์ซึ่งไม่สามารถประมวลผลข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดได้รวดเร็วเท่า การใช้ค่า RSI มาเป็นตัวแปรจึงทำระบบอัตโนมัติสามารถตัดสินใจทำการซื้อขายได้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมดัชนีจึงปรับค่าขึ้นและลงได้หลายเปอร์เซนต์อย่างรวดเร็ว

สิ่งที่เกิดขึ้นหลังช่วงปลายเดือนเมษายนเป็นต้นมาได้เกิดขึ้นเป็นประจำในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเมื่อมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการซื้อขายมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนธันวาคม หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal รายงานว่า การซื้อขายในตลาดหุ้นในช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาจำนวน 85% เกิดขึ้นจากอัลกอริทึมของคอมพิวเตอร์และกลยุทธ์การลงทุนแบบตั้งรับซึ่งจะดำเนินการไปตามสถานการณ์ตลาด

และยังทำให้ตลาดต่างๆ จับตามองกันและกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น หลังจากที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2016 หุ้นของทั้งสหรัฐฯ ญี่ปุ่น บราซิล และอินเดียต่างก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นราว 40% มาจนถึงสัปดาห์ที่แล้ว

แม้ว่า RSI จะเป็นเครื่องมือชี้วัดที่ดี แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด เพราะมันจะบอกได้เพียงว่าจุดสูงสุดกับจุดต่ำสุดกำลังจะเกิด แต่มันไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่

การเทขายอย่างรุนแรงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปี 2018 คือตัวอย่างที่ชัดเจนของเหตุการณ์นี้ ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยดี แม้ว่าจะมีปัจจัยที่อาจเป็นปัญหาทั้งจากการวิจารณ์การทำงานของธนาคารกลางสหรัฐของทรัมป์ ความกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งปัญหาอื่นๆ อีกหลายอย่างก็ตาม ตลาดก็ฟื้นตัวกลับในช่วงฤดูร้อนได้สำเร็จ

แต่ในช่วงปลายเดือนสิงหาคมต่อเนื่องเดือนกันยายน ดัชนี NASDAQ, S&P 500 และดาวต่างส่งสัญญาณผ่าน RSI ว่ามีการซื้อที่มากเกินมูลค่าจริงไปแล้ว จากนั้นตลาดหุ้นก็เริ่มชะลอตัวลง และในช่วงกลางเดือนตุลาคม ตลาดทั่วโลกก็เกิดความกลัวและปรับตัวดิ่งลงก่อนจะถึงช่วงคริสต์มาส

ดัชนีดาวดิ่งลงไปเกือบ 12% ในไตรมาสที่ 4 ในขณะที่ S&P 500 ลดลงไป 14% เช่นเดียวกับดัชนี DAX ของเยอรมนี ส่วน NASDAQ ก็ปรับตัวลดลงไป 17% เท่ากับดัชนี นิคเคอิของญี่ปุ่น

การเทขายในช่วงวันคริสต์มาสอีฟในครั้งนั้นคือผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับวันคริสต์มาสอีฟในปีที่ผ่านๆ มาเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกันนั้น RSI ของดัชนีดาว, S&P 500 และ NASDAQ ก็เริ่มส่งสัญญาณให้ซื้อแล้วเช่นกัน โดย RSI ของ S&P 500 ไปแตะที่ 19 ในวันที่ 24 ธันวาคมซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่เคยมีมาก่อนนับตั้งแต่เกิดวิกฤติทางการเงินในปี 2008

นี่จึงเป็นสัญญาณซื้อที่ชัดเจนและแน่นอนว่าตลาดเริ่มฟื้นตัวมาตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมแล้ว

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย