รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

การซื้อ-ขายหุ้นของบัฟเฟตต์: 3 สิ่งที่น่าสนใจในไตรมาส 4

เผยแพร่ 26/02/2562 18:15
อัพเดท 02/09/2563 13:05

เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์ กล่าวกับผู้ถือหุ้นบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ (NYSE:BRKa) ของเขา ผ่านรายงานผลประกอบการรายไตรมาสและจดหมายประจำปีที่ทุกคนรอคอยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดานักลงทุนไม่ว่าจะถือหุ้นในบริษัทของบัฟเฟตต์หรือไม่ ต่างก็ให้ความสนใจกับการให้คำกล่าวครั้งนี้อย่างมาก

ซีอีโอของบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ ผู้ได้รับฉายา "นักพยากรณ์แห่งโอมาฮา" มาเพราะทักษะการลงทุนที่เหนือชั้นของเขาในฐานะนักลงทุนที่เน้นคุณค่า สร้างชื่อเสียงจากการถือหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรของบริษัทที่แข็งแกร่ง และได้กำไรจากการถือหุ้นเหล่านั้นเป็นเวลาหลายปีผ่านพอร์ตบริษัทของเขาเอง

BRKa vs SPX 1980-2019

ความยอดเยี่ยมของแผนการเล่นหุ้นของเขาเป็นที่ประจักษ์จากกราฟด้านบน ในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา ขณะที่หุ้น S&P 500 โตขึ้น 2638% มูลค่าหุ้น BRKa นั้นโตขึ้นอย่างมหาศาลถึง 116,553%

แต่ไตรมาส 4 ในปี 2018 ไม่ใช่ไตรมาสที่ดีของเบิร์กไชร์สักเท่าไรนัก มูลค่าพอร์ตของบริษัทดิ่งลงไป 3.8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว 17% จากทั้งหมด 2.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงเท่ากับ 1.83 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ พอร์ตของบริษัทประกอบไปด้วยหุ้น 48 ตัว โดยหุ้นที่ทำผลกำไรได้สูงสุดของบัฟเฟตต์ได้แก่ Apple (NASDAQ:AAPL), Bank of America (NYSE:BAC) และ Wells Fargo (NYSE:WFC)

BRKa vs SPX TTM

ตลาดทั้งหมดเกิดการดิ่งลงเมื่อเข้าใกล้ปี 2018 ฉะนั้นหุ้น S&P 500 จึงปรับตัวขึ้นได้เพียง 1.89% ในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ของ BRKa ดูแย่กว่า ในระยะเวลาเดียวกันราคาหุ้นดิ่งลง 3.51% แต่การปรับตัวขึ้นลงรายไตรมาสกลับไม่ได้ทำให้บัฟเฟตต์กังวลแม้แต่น้อย ตามที่เขามักจะกล่าวว่าเขาวางแผนที่จะถือหุ้นในระยะยาว

จึงเป็นสาเหตุที่ทั้งหุ้นที่เขาซื้อ และ ขายยังคงได้รับความสนใจจากเหล่านักลงทุน พวกเราเชื่อว่าความเคลื่อนไหวสามครั้งในไตรมาสที่ผ่านมาของเขามีความน่าสนใจเป็นพิเศษ ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้

1. ธนาคาร

บัฟเฟตต์เป็นผู้เชื่อมั่นในเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างเหนียวแน่น อันจะเห็นได้จากการชื่นชมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านจดหมายประจำปีแก่ผู้ถือหุ้นบริษัท ซึ่งความเคลื่อนไหวล่าสุดของเขาก็ได้พิสูจน์ความเชื่อของเขาให้ทุกคนเห็น

เบิร์กไชร์ถือหุ้นหมวดการเงินของสหรัฐฯ ในปริมาณกว่า 45% ของหุ้นทั้งหมด แม้ว่าในไตรมาสที่ 4 ที่นายเพาเวลล์ ประธานเฟด ยังคงสงวนท่าทีทำให้ความหวังที่จะมีการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในอนาคตน้อยลง (และความสามารถในการทำกำไรของธนาคารในอนาคตก็จะเป็นไปได้ยากขึ้นด้วย) แต่บัฟเฟตต์เลือกที่จะซื้อหุ้นในหมวดดังกล่าวโดยเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ เพิ่มจำนวนการถือหุ้นของ Bank of America, US Bancorp (NYSE:USB), JPMorgan Chase & Co (NYSE:JPM), PNC Financial (NYSE:PNC) และ Bank of New York Mellon (NYSE:BK)

โดยเฉพาะหุ้นของ JP Morgan ซึ่งบัฟเฟตต์ซื้อเพิ่มเมื่อไตรมาสที่ 3 ปริมาณหุ้นเติบโตขึ้นกว่า 14.4 ล้านหุ้นในราคาเฉลี่ยหุ้นละ $106 (ราคาปิดเมื่อวานอยู่ที่หุ้นละ $106.10) ทำให้ปริมาณการถือครองหุ้นมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 1.52 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเบิร์กไชร์ยังถือครองหุ้น BAC เพิ่มขึ้นกว่า 18.9 ล้านหุ้นในราคาเฉลี่ยหุ้นละ $27 (ราคาปิดล่าสุดเมื่อวานอยู่ที่หุ้นละ $29.27) จึงมีมูลค่าการถือครองหุ้นเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 510 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้เบิร์กไชร์เข้าใกล้การเป็นผู้ถือหุ้นธนาคาร 10% หากบริษัทถือหุ้นเกิน 10% ตามกฎหมายของรัฐจำเป็นต้องจัดกลุ่มบริษัทเบิร์กไชร์ใหม่ให้เป็นบริษัทที่ถือหุ้นธนาคาร ซึ่งบริษัทไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นด้วยเหตุผลนี้ เบิร์กไชร์จึงลดการถือหุ้น Wells Fargo (NYSE:WFC) ออกไป 3%

เหตุผลของบัฟเฟตต์ในการถือหุ้นหมวดการเงินเหล่านี้คือ แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยจะมีผลอย่างใหญ่หลวงต่อความสามารถในการทำกำไรในหุ้นหมวดการเงิน และทำให้การถือหุ้นในระยะสั้นท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำในปัจจุบันนั้นไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไรนัก แต่เบิร์กไชร์ได้ตั้งมั่นว่าบริษัทจะทำกำไรจากการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะยาวเท่านั้น สำหรับหุ้นรายตัวแล้ว ถือว่า JP Morgan เป็นหุ้นที่โดดเด่นในหมวดธนาคารสหรัฐฯ ณ ขณะนี้ ทั้งการประเมินมูลค่าหุ้นที่มีอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ถึง 11 เท่า อีกทั้งการจ่ายปันผลที่น่าพอใจในมูลค่า 3% ฉะนั้นหลายคนคงยินดีอดทนรอคอยให้นายเพาเวลล์และคณะตัดสินใจที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยได้อย่างแน่นอน

2. เทคโนโลยี

ผู้ที่คอยสังเกตการณ์บริษัทเบิร์กไชร์มาตลอดจะเริ่มเห็นสัญญาณ ที่ดูเหมือนว่าจะมีการส่งไม้ต่อให้แก่ผู้บริหารรุ่นถัดไปจากการที่บริษัทเริ่มหันมาถือหุ้นเทคโนโลยี เนื่องจากเป็นที่รู้กันมาอย่างยาวนานว่านายบัฟเฟตต์ผู้มีอายุ 88 ปีมักหลีกเลี่ยงหุ้นเทคโนโลยีมาตลอด แต่ในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา พอร์ตของเบิร์กไชร์เริ่มประกอบไปด้วยหุ้นบริษัทเทคโนโลยีในปริมาณที่มากขึ้นอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นเมื่อสามปีที่แล้ว Apple เป็นหุ้นรายตัวที่เบิร์กไชร์ถือครองมากที่สุด โดยมีมูลค่าการถือครองกว่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ทว่าในไตรมาสที่ผ่านมา มีการขายหุ้นบริษัทผู้สร้าง iPhone ปริมาณ 2.9 ล้านหุ้น ในราคาเฉลี่ยหุ้นละ $192 (ราคาปิดวันนี้ $174.23)

และยังมีการเพิ่มหุ้นบริษัท Red Hat (NYSE:RHT) บริษัทคลาวด์แบบโอเพนซอร์สที่ IBM (NYSE:IBM) ทำการซื้อบริษัทเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา(NYSE:IBM) ซึ่งถือว่าเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ เนื่องจากเบิร์กไชร์ได้ประกาศเมื่อพฤษภาคมปีที่แล้วว่าบริษัทได้ขายหุ้น IBM จำนวนหลายพันล้านที่ถือครองมานานออกไปหมดแล้วโดยเบิร์กไชร์ได้ซื้อหุ้นบริษัท Red Hat จำนวน 4.1 ล้านหุ้นในราคาเฉลี่ยหุ้นละ $160 (ราคาปิดวันนี้ $182.40) อ้างอิงจากข้อมูลแล้ว เบิร์กไชร์เริ่มซื้อหุ้น Red Hat ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการประกาศการซื้อบริษัท

ทว่าข่าวใหญ่ของไตรมาสที่ผ่านมา คือการเทขายหุ้น Oracle (NYSE:ORCL) ของเบิร์กไชร์ ในไตรมาสที่ 3 บริษัทได้ซื้อหุ้น Oracle กว่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากนั้นก็ขายทิ้งทั้งหมดภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่บัฟเฟตต์ไม่เคยทำมาก่อน

ไม่มีใครทราบว่าเหตุผลในการทำเช่นนั้นคืออะไร และการที่บริษัทลดจำนวนการถือหุ้น Apple ก็ยังไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรมากนัก ปัจจุบันเบิร์กไชร์ยังคงถือหุ้น Apple ในมูลค่า 4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ แม้ว่าในไตรมาสที่ 4 บริษัท Apple จะพบกับอุปสรรคอยู่บ้าง แต่การประเมินมูลค่าหุ้น (อัตรา P/E 14 เท่า) รวมกับเงินสดสำรองในบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 2.45 แสนล้าน จึงทำให้นักลงทุนบริษัท Apple ทุกคนยังไม่มีอะไรต้องกังวล

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

หุ้นบริษัท Red Hat หลังจากการซื้อบริษัทมาแล้วก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง โดย IBM จะต้องจ่ายมูลค่าส่วนเกินมากขึ้นถึง 63% เพื่อซื้อ Red Hat มา ทำให้ราคาหุ้นแพงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งปัจจุบันบริษัทได้อยู่ภายใต้การควบคุมของ IBM แล้ว พวกเราจึงไม่คิดว่าการซื้อหุ้นครั้งนี้จะมีผลดีในระยะยาวอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นต่อหุ้นบริษัท Oracle ทำให้พวกเราเกิดความสงสัยว่าผู้ที่เปิดตำแหน่งเมื่อไตรมาสที่แล้วคือตัวแทนของบัฟเฟตต์หรือไม่ และผู้ที่ไม่สนใจในบริษัทเทคโนโลยีที่เก่าแก่ มีรายได้ที่ซบเซา และยังมีการแข่งขันสูงในแวดวงผู้ให้บริการคลาวด์อีกอย่างบัฟเฟตต์จึงเลือกที่จะปิดตำแหน่งเหล่านั้นเสียเอง

3. การเพิ่มจำนวนหุ้นอย่างน่าตกใจ

แม้ว่าความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในหุ้นหมวดการเงินและเทคโนโลยี ซึ่งมีมูลค่ารวม 67% ของพอร์ตบริษัทเบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ทั้งหมดยังถือว่าเป็นการเดินหมากที่ไม่เกินความคาดหมาย แต่การซื้อหุ้นเพิ่มขึ้น 2 ล้านหุ้นเป็นปริมาณกว่า 37% ของบริษัท General Motors (NYSE:GM) ที่มีราคาปิดเมื่อวานหุ้นละ $40.14 ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างยิ่งด้วยราคาเฉลี่ยหุ้นละ $34 เบิร์กไชร์ได้เพิ่มปริมาณการถือหุ้นมากขึ้นกว่า 680 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งบัดนี้มีมูลค่ารวมแล้วกว่า $2.4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ความเคลื่อนไหวที่คาดไม่ถึงครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ ในปัจจุบันคงประเมินสถานการณ์ได้ยากแต่เห็นได้ชัดว่านี่เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนของบัฟเฟตต์อีกอย่างแน่นอน หุ้นของบริษัทผลิตยานยนต์ซึ่งประจำอยู่ที่เมืองดีทรอยต์นั้นมีราคาถูก ด้วยอัตรา P/E 6 เท่า และการจ่ายเงินปันผล 3.8% ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาซื้อหุ้นสัญชาติอเมริกัน และในการอ่านจดหมายผู้ถือหุ้นครั้งล่าสุดเขายังคงสรรเสริญว่าอเมริกาเป็นประเทศที่ “ยอดเยี่ยม" จากความสำเร็จด้านธุรกิจมากมายในอดีตถึงปัจจุบัน

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย