เงินและแพลทินัมดิ่ง 15% ทองลง 4% เมื่อนักลงทุนเทขายทํากําไร
Economic Highlight
ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากฝั่งสหรัฐฯ และรายงานการประชุม FOMC เดือนธันวาคม
|
ราคา |
ราคาปัจจุบัน |
แนวรับ |
แนวต้าน |
คาดการณ์แนวโน้ม |
|
31.04 |
30.80/31.00 |
31.50/31.80 |
Sideways Down *ยังมีความเสี่ยง Two-Way และอาจผันผวนสูงช่วงปริมาณธุรกรรมเบาบาง |
|
|
ทองคำ** (ดอลลาร์ต่อออนซ์) |
4,533 |
4,200/4,350 |
New All-time High |
Sideways |
**ราคาทองคำ = Spot Gold price (XAUUSD)
FX Highlight
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นเกือบทะลุโซน 31 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ของราคาทองคำ
- ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีนั้น เรามองว่า การเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ส่วนใหญ่อาจเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ท่ามกลางปริมาณการทำธุรกรรมที่เบาบางลง
- ทว่า ในระยะข้างหน้านั้น ปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อตลาดการเงิน คือ 1) มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางหลัก โดยเฉพาะเฟดและธนาคารกลางญี่ปุ่น 2) ทิศทางการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ 3) ประเด็นเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก 4) บรรยากาศในตลาดการเงิน ซึ่งต้องจับตาการเคลื่อนไหวของหุ้นธีม AI/Semiconductor และ 5) ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์
- ควรระวังความผันผวนในช่วงปลายปี โดยเฉพาะหากเงินเยนญี่ปุ่นอ่อนค่าลงหนัก จนทางการญี่ปุ่นเริ่มเข้าดูแลค่าเงิน โดยเฉพาะในช่วงสภาพคล่องตลาดเบาบาง ก็อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นเร็ว กดดันเงินดอลลาร์ได้
- เรายังคงประเมินว่า เงินบาท (USDTHB) จะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนถึง ตลอดช่วงไตรมาสแรกของปี 2026 หลังโมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นยังมีกำลังอยู่
- ในช่วงระยะสั้นนี้ (จนถึงสิ้นปี 2025) การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดอาจรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อีกทั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงหยุดยาวทำให้ปริมาณธุรกรรมในตลาดการเงินเบาบาง ทว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวัง ว่า เงินบาทเสี่ยงเคลื่อนไหว Two-way Risk หรือพร้อมเคลื่อนไหวได้ทั้งสองทิศทาง ได้พอสมควร หามีโฟลว์ธุรกรรมด้านใดด้านหนึ่งเข้ามากระทบตลาด โดยเฉพาะในช่วงวันทำการสุดท้ายของตลาดการเงินไทย
- หากเงินบาทสามารถแข็งค่าขึ้นทะลุโซนแนวรับสำคัญ 31.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้นั้น เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเริ่มประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอตัวลงและมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ในระยะข้างหน้า
- โดยจากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมของเงินบาท (Fair Value) จากโมเดล Behavioral Equilibrium Exchange Rate (BEER) ที่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยเทียบกับฝั่งสหรัฐฯ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเงินบาท (USDTHB) และดัชนีเงินบาทที่แท้จริง (Real Effective Exchange Rate REER) เราพบว่า Fair Value ของเงินบาทจะอยู่ในช่วง 33-34 บาทต่อดอลลาร์ (เฉลี่ยจากโมเดลของเราและของทาง Bloomberg Economics และ Fair Value ของ REER) ทำให้เงินบาทที่ระดับต่ำกว่า 30.75 บาทต่อดอลลาร์ ถือว่าเป็นระดับที่ Extremely Overvalued หรือเงินบาทแข็งค่าเกินไปมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเงินบาทจะมีแนวโน้มพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้ ในระยะ 3 เดือน และ 6 เดือน ข้างหน้า
- ในเชิงเทคนิคัลนั้น เรามองว่า หากประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะยังอยู่ในแนวโน้มการแข็งค่าขึ้น จนกว่าจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 31.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน (เราจะปรับมุมมองต่อแนวโน้มเงินบาทใหม่ หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุเส้นค่าเฉลี่ย 30 สัปดาห์ หรือโซน 32.30 บาทต่อดอลลาร์)
- ทั้งนี้ แนวต้านของเงินบาท (USDTHB) อยู่แถว 31.50 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไป 31.80-32.00 บาทต่อดอลลาร์ และโซน 32.30-32.50 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวรับแรกจะอยู่ในช่วง 31.00 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับถัดไป 30.80 บาทต่อดอลลาร์)
Gold Highlight
- นับตั้งแต่ช่วง สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามการไล่ซื้อของผู้เล่นในตลาด หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มั่นใจต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด มากกว่า Dot Plot
- ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2026 ราคาทองคำอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
- การปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้
- นอกจากนี้ หากบรรยากาศในตลาดการเงินอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ในช่วงปลายปี สอดคล้องกับ Santa Rally ก็อาจลดทอนโมเมนตัมการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำได้
- ในทางกลับกัน หากตลาดกลับมากังวลประเด็นความเสี่ยงฟองสบู่ราคาหุ้นธีม AI/Semiconductor รวมถึงแนวโน้มผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ก็จะพอช่วยหนุนราคาทองคำด้วยเช่นกัน
- และที่สำคัญ ประเด็นความกังวลเสถียรภาพการคลังของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก ก็สามารถเป็นอีกปัจจัยที่หนุนความต้องการถือครองทองคำได้ (ธีม Currency Debasement เพิ่มความน่าสนใจในการถือทองคำ)
- ส่วน พัฒนาการของการเจรจาเพื่อยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน ก็อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามและสามารถกระทบราคาทองคำได้อย่างมีนัยสำคัญ
- ความผันผวนของราคาทองคำ (1-month volatility) ยังคงอยู่ในระดับสูง ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวังและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาทองคำอย่างใกล้ชิด
- ทั้งนี้ ในเชิงเทคนิคัล หากประเมินจากกลยุทธ์ Trend-Following โมเมนตัมขาขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ยังมีอยู่ และราคาทองคำจะยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ตราบใดที่ราคาทองคำไม่ได้ปรับตัวลดลงหลุดโซน 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อย่างชัดเจน
- ภายใต้แนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ที่ยังพอมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นได้บ้าง แต่เสี่ยงที่จะเข้าสู่ช่วงพักฐานในระยะสั้น ทำให้เรามองว่า กลยุทธ์ที่น่าสนใจ คือ รอจังหวะ Buy on Dip (ขอย้ำว่า ไม่ควร ไล่ราคาซื้อ) สำหรับผู้เล่นที่ต้องการถือทองคำบ้างในพอร์ตการลงทุน 5%-10% เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง ส่วนผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะลงทุนแล้ว ก็อาจ Let Profits Run หรืออาจทยอยพิจารณาขายทำกำไร ในกรณีที่ ราคาทองคำพลิกกลับมาปรับตัวลงทะลุโซน 4,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้แนวโน้มราคาทองคำเปลี่ยนไปและเข้าสู่ช่วงการพักฐาน
Economics Highlight
|
สถานการณ์/เหตุการณ์สำคัญ |
ผลกระทบต่อ |
|
|
ค่าเงินบาท |
ราคาทองคำ |
|
|
รายงานการประชุม FOMC ของเฟด สะท้อนว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ สนับสนุนการลดดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
|
ยอดการจ้างงานภาคเอกชน รายสัปดาห์ โดย ADP เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
|
ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงและออกมาต่ำกว่าคาด |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
|
ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของจีน ในเดือนธันวาคม ปรับตัวขึ้น ดีกว่าคาด |
ปัจจัยบวกเล็กน้อย |
- |
|
ทางการญี่ปุ่น ส่งสัญญาณชัดเจน พร้อมเข้าดูแลค่าเงิน หลังเงินเยนญี่ปุ่น อ่อนค่าลงหนัก |
ปัจจัยบวก |
ปัจจัยบวก *หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง |
|
บรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน จากความกังวลมูลค่าหุ้นธีม AI/Semiconductor ที่อยู่ในระดับสูง |
ปัจจัยบวกเล็กน้อย |
ปัจจัยบวก |
|
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ของไทยในเดือนพฤศจิกายน ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
- |
|
บรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายหุ้นไทยเพิ่มเติม |
ปัจจัยลบเล็กน้อย |
- |
|
บรรดานักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย หลังบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงก่อนหน้า |
ปัจจัยบวกเล็กน้อย |
- |
Week Ahead Calendar
