ตลาดหุ้นวันนี้: S&P 500 ปรับตัวลงวันที่สามติดต่อกันจากความหวังการลดดอกเบี้ยที่ลดลง
ลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ โดย ADP พร้อมจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด หลังผู้เล่นในตลาดรับรู้ผลการประชุม FOMC ล่าสุดของเฟด ที่มีลักษณะ “Hawkish Cut”
- ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP และ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ พร้อมติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึง รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน
- เงินดอลลาร์อาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งย้ำว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดอาจไม่ได้เยอะเท่าที่ตลาดคาดหวัง ทว่าการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็อาจถูกจำกัดจากแรงขายทำกำไรและการปรับสถานะถือครองได้ ในส่วนของค่าเงินบาท แม้โมเมนตัมการอ่อนค่าเริ่มมีกำลังอีกครั้ง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และจังหวะย่อตัวลงของราคาทองคำ ทว่า ผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์และปรับสถานะถือครอง ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
- มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
32.20-32.80 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
- ฝั่งสหรัฐฯ – ในช่วงทุกๆ ต้นเดือน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ทว่า รายงานยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) อาจถูกเลื่อนประกาศไปก่อน จากผลกระทบภาวะ Government Shutdown (รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ จากหน่วยงานรัฐ) ทำให้ผู้เล่นในตลาดจะอาศัยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากฝั่งเอกชน ในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ในเดือนตุลาคม ที่ตลาดจะให้ความสำคัญมากขึ้น รวมถึง รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนตุลาคม และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) สำหรับเดือนพฤศจิกายน และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนอย่างใกล้ชิด
- ฝั่งยุโรป – ประเด็นสำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยบรรดานักวิเคราะห์รวมถึงเรา ต่างประเมินว่า BOE อาจมีมติไม่เป็นเอกฉันท์ ให้คงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.00% หลังอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษก็ยังอยู่ในระดับสูง ทว่าสัญญาณการชะลอตัวลงของตลาดแรงงานอังกฤษก็อาจทำให้ BOE สามารถทยอยลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน
- ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย RatingDog (หรือเดิมคือ Caixin PMI) ในเดือนตุลาคม รวมถึงรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนตุลาคม เช่นกัน ส่วนการประชุมธนาคารกลางที่น่าสนใจ จะประกอบไปด้วย การประชุมธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ทั้ง RBA และ BNM อาจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.60% และ 2.75% ตามลำดับ แต่อาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ในปีหน้า หากเศรษฐกิจออสเตรเลียและมาเลเซีย ชะลอตัวลงมากกว่าคาด ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราการเติบโตค่าจ้าง (Wage Growth) โดยหลังการประชุม BOJ ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดได้ปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ และให้โอกาสราว 48% ที่ BOJ จะขึ้นดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเดือนธันวาคม
- ฝั่งไทย – เราประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนตุลาคม จะยังคง “ติดลบ” ต่อเนื่อง ที่ระดับ -0.79% (-0.12%m/m) ตามการปรับตัวลงของทั้งราคาเนื้อสัตว์และราคาพลังงานจากเดือนก่อนหน้า อีกทั้งฐานราคาสินค้าและบริการในปีก่อนยังคงอยู่ในระดับสูง แม้จะชะลอตัวลงบ้าง ทว่าเรายังไม่เห็นความเสี่ยงภาวะเงินฝืด หรือสัญญาณการปรับตัวลงของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง ทำให้อัตราเงินเฟ้อจะยังไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจในเดือนตุลาคม
