ลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจากบรรดาประเทศเศรษฐกิจสำคัญ พร้อมจับตาประเด็นการเมืองสหรัฐฯ
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากความหวังการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับคู่ค้า ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด
- ควรรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากสหรัฐฯ ยุโรป และจีน พร้อมทั้งรอติดตาม ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ (ที่อยู่ในช่วงการร่าง Fiscal Bill) รวมถึง ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก
- เงินดอลลาร์อาจชะลอการแข็งค่าขึ้น และอาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways หลังผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้ง ในปีนี้ โดยทิศทางเงินดอลลาร์จะขึ้นกับว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ จะออกมาอย่างไร เมื่อเทียบกับประเทศเศรษฐกิจสำคัญอื่นๆ ในส่วนของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่ายังมีกำลังอยู่ โดยเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับบรรดานักลงทุนต่างชาติ และแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ ทว่าเงินบาทก็เสี่ยงเผชิญ Two-Way Volatility ขึ้นกับทิศทางของราคาทองคำและบรรดาสกุลเงินเอเชีย อย่าง เงินหยวนจีน ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทในระดับสูงมาก ในช่วงระยะสั้น
- มองกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้
32.95-33.65 บาท/ดอลลาร์
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
- ฝั่งสหรัฐฯ – บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนพฤษภาคม ที่อาจสะท้อนถึงผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตและภาคการบริการ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ซึ่งบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนฯ จากพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังอยู่ในช่วงการร่าง Fiscal Bill ซึ่งอาจมีเป้าหมายในการขยายเวลามาตรการลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา (Tax Cuts and Jobs Act หรือ TCJA) ที่จะจบลง ณ สิ้นปี 2025 รวมถึงการลดการใช้จ่ายของภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม และนอกเหนือจากประเด็นการเมืองดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า พร้อมทั้ง รอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินเฟด โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 2 ครั้ง ในปี 2025 และเฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 2 ครั้ง ในปี 2026
- ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม รวมถึงยอดค้าปลีก (Retail Sales) และอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน พร้อมรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ BOE พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานการประชุม ECB ล่าสุด และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB ด้วยเช่นกัน
- ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในเดือนเมษายน อย่าง ยอดค้าปลีก รวมถึงยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ซึ่งข้อมูลดังกล่าวอาจสะท้อนผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ต่อเศรษฐกิจจีน นอกจากนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และ 5 ปี อาจถูกปรับลดลงสู่ระดับ 3.00% และ 3.50% ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นของธนาคารกลางจีน (PBOC) เพื่อรับมือแรงกดดันจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่น ผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในเดือนเมษายน ในส่วนนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า ธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 3.85% และ 5.50% ตามลำดับ ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ
- ฝั่งไทย – เรามองว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยสำหรับไตรมาสแรก ปี 2025 อาจยังได้แรงหนุนจาก การส่งออกสินค้าที่ขยายตัวได้ดี ตามการเร่งนำเข้าสินค้าไทยก่อนเผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน การท่องเที่ยว ก็ยังคงเป็นเครื่องยนต์สำคัญต่อเศรษฐกิจ ทว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ส่งผลให้ การลงทุนภาคเอกชนอาจชะลอตัวลงพอสมควร เช่นเดียวกับการบริโภคภาคเอกชนที่อาจไม่ได้ขยายตัวดีมากนักในไตรมาสแรก ทั้งนี้ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี จากผลกระทบของนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ทำให้ทั้งปี 2025 เศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวราว +2%y/y