Economic Highlight
ควรจับตารายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของบรรดาประเทศเศรษฐกิจหลัก พร้อมติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก แนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
**ราคาทองคำ = Spot Gold price (XAUUSD)
FX Highlight
- สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ รวมถึงแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติก็ช่วยชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทได้บ้าง
- เรายังคงมองว่า เงินดอลลาร์จะเผชิญความผันผวน Two-Way Volatility โดยแนวโน้มการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์จะขึ้นกับ 1) รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด 2) มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยธนาคารกลางหลักอื่นๆ 3) มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และ 4) บรรยากาศในตลาดการเงิน
- โดยเงินดอลลาร์ อาจแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาดีกว่าคาด และผู้เล่นในตลาดก็เริ่มทยอยเพิ่มสถานะ Long USD ซึ่งเป็นหนึ่งใน Trump Trades หลังโอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
- แต่หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซน อังกฤษและญี่ปุ่น อย่างดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ออกมาดีกว่าคาด ก็อาจหนุนให้บรรดาสกุลเงินหลักรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง หรือชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้
- เรามองว่า ควรจับตาทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้ โดยการเคลื่อนไหวของเงินหยวนจะขึ้นกับความเชื่อมั่นในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนของผู้เล่นในตลาด อนึ่ง เราประเมินว่า แม้เงินหยวนอาจแข็งค่าขึ้น แต่เงินหยวนจีนจะไม่ได้แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องชัดเจนจนทะลุระดับ 7 หยวนต่อดอลลาร์ ได้ง่ายนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน
- นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เรามองว่า ควรจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน พร้อมจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่อาจเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติมได้
- ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์พลังงาน ยังคงเป็นปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางเงินบาทได้พอสมควร ซึ่งต้องจับตาทั้งมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- เราประเมินว่า เงินบาทอาจมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่การแข็งค่าก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด หรืออาจกล่าวได้ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways
- ทั้งนี้ เราจะยังคงมุมมองเดิมว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าลงต่อได้ (หลังเราได้ call Bottom USDTHB เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม) ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้แข็งค่าขึ้นจนทะลุโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน และหากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าทะลุโซน 33.30-33.40 บาทต่อดอลลาร์ได้ ก็จะทำให้เรามั่นใจแนวโน้มการทยอยอ่อนค่าของเงินบาทมากขึ้น
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI MACD และ Stochastic ใน Time Frame รายวัน สำหรับ USDTHB สะท้อนว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนตุลาคมได้อ่อนกำลังลงต่อเนื่อง และมีโอกาสที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นได้บ้างในระยะสั้น หรือ อย่างน้อยอย่างแกว่งตัวในกรอบ sideways
- ส่วนสัญญาณจาก RSI Stochastic และ MACD ใน Time Frame H4 และ H1 สะท้อนว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงระยะสั้นอาจชะลอลงบ้างและเริ่มเห็นสัญญาณ RSI Bullish Divergence ซึ่งต้องจับตาว่า เงินบาทจะชะลอการแข็งค่าแถวโซนแนวรับ 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ หรือไม่
- ในส่วนของโซนแนวต้านเงินบาทนั้น จะอยู่แถว 33.30 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากอ่อนค่าผ่านได้ก็อาจมีแนวต้านถัดไปแถว 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับแรกจะอยู่แถว 33.00-33.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยจะมีแนวรับถัดไปแถว 32.85 บาทต่อดอลลาร์
Gold Highlight
- ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วงปลายสัปดาห์ จนทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ สวนทางกับคาดการณ์ของเรา โดยราคาทองคำได้แรงหนุนจากทั้งความไม่แน่นอนของสถานการณ์ในตะวันออกกลางและการเลือกตั้งสหรัฐฯ รวมถึงจังหวะย่อตัวลงบ้างของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
- เรายอมรับว่า ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามโมเมนตัมขาขึ้นที่มีกำลังมากขึ้น
- โดยราคาทองคำอาจยังคงได้แรงหนุนจากการเพิ่มสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด เพื่อรับมือความไม่แน่นอนของทั้งการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- อย่างไรก็ดี เราคงมองว่า การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็อาจค่อยเป็นค่อยไป หากเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นได้บ้าง ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด หรือในจังหวะที่บรรยากาศในตลาดการเงินเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI MACD และ Stochastic ในTime Frame รายวัน ชี้ว่า ราคาทองคำยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ตามโมเมนตัมขาขึ้นที่มีกำลังมากขึ้น ทว่า ก็มีความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจพลิกกลับมาย่อตัวลงบ้าง ตามสัญญาณ RSI Divergence
- ในส่วน Time Frame H4 สัญญาณจากทั้ง RSI Stochastic และ MACD สะท้อนว่า ราคาทองคำยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่ก็เริ่มมีความเสี่ยงย่อตัวลงบ้าง หลัง RSI เข้าโซน Overbought
- ทั้งนี้ สัญญาณจาก RSI Stochastic และ MACD ของ Time Frame H1 สะท้อนความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจย่อตัวลงบ้าง โดยเราเห็นการเกิดภาพ RSI Bearish Divergence ขึ้น
- โดยรวม เราประเมินว่า ราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ แต่จะมีจังหวะย่อตัวลงได้บ้าง หรือแกว่งตัว Sideways Up จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
- โซนแนวต้านของราคาทองคำจะอยู่แถวจุดสูงสุดใหม่ล่าสุด 2,723 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่วนโซนแนวรับจะอยู่แถว 2,690-2,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยมีแนวรับถัดไปในช่วง 2,670-2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์