All about rate cut
• SET: ประเมิน SET Index มีโมเมนตัมเชิงบวกในระยะสั้นจากการตัดสินใจ ลดดอกเบี้ยแบบ Surprise ของกนง.วานนี้ สาเหตุจาก Bond yield ที่มี แนวโน้มลดลงจนส่งผลให้ Earning yield gap (EYG) ของตลาดหุ้นไทย ถ่างกว้างมากขึ้น ทั้งนี้จากการคานวณของเราโดยใช้ระดับ Bond yield 10 ปีของไทยล่าสุดที่ 2.48% พบว่า ระดับดัชนี SET ที่ จะทําให้ค่า EYG กลับเข้าสู่ค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังจะอยู่ที่ 1510 จุด (รูปที่ 1) มองเป็นระดับดัชนีที่สามารถคาดหวังได้ในระยะสั้น
• Rate cut: กนง.มีมติ 5 ต่อ 2 วานนี้ให้ปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงจาก 2.50% เป็น 2.25% ถือเป็นการปรับลดที่เร็วกว่าที่เราคาดการณ์ว่าจะ เกิดขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ โดยมีไฮไลท์สําคัญจากที่ประชุมดังนี้
1) มีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจคล้ายเดิม กล่าวคือยังคงถูกขับเคลื่อนด้วย การบริโภคเอกชนและการท่องเที่ยว
2) ทางด้านเงินเฟ้อ มีมุมมองไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่มองว่าอัตราเงิน เฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี
3) กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เนื่องจากจะ อุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ ช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้าง โดยมองว่าการลดดอกเบี้ยนี้จะไม่เป็น (Debt deleveraging)
4) ประมาณการเศรษฐกิจและเงินเฟ้อที่ออกมารอบใหม่ โดยรวมไม่ได้มี การเปลี่ยนแปลงอย่างสําคัญ แต่ในรายละเอียด พบการปรับลด คาดการณ์การลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐ และการปรับเพิ่ม คาดการณ์การส่งออก
• Reaction: ผลกระทบล่าสุดที่เกิดขึ้นในตลาด พบว่าอัตรา Swap ระยะสั้น ดั่งลงทันที โดยรุ่น 3 เดือนลงมาล่าสุดอยู่ที่ 2.20% (รูปที่ 2) ส่วน Bond yield ของไทยย่อด้วลง โดยรุ่น 2 ปีมาอยู่ที่ 2.14% จาก 2.17% และรุ่น 10 ปีลงมาอยู่ที่ 2.49% จาก 2.51% ทางด้านเงินบาทแกว่งทรงตัว
• Our take: อย่างที่เราเคยกล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า การลดดอกเบี้ยของกนง. ในไตรมาส 4 ที่ 0.25% จะไม่ส่งผลใดๆต่อคาดการณ์ SET Index ตามวิธี PE Model ของเรา เนื่องจากเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในสมมติฐานการลงทุน ของเราไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ในส่วนของมาตรวัด EYG นั้น ดัชนี SET จะได้ ประโยชน์จาก EYG ที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งจะมากขึ้นแค่ไหน ขึ้นอยู่กับระดับ Bond yield รุ่น 10 ปีของไทยที่จะแปรผันตามอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
• เบื้องต้น ประเมินปัจจัยดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Rate-sensitive ในประเทศอย่างไฟแนนซ์และที่อยู่อาศัย จาก Consumer demand ที่มี แนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆที่อาจเริ่มปรับ ลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้น กลุ่ม Bond-liked เช่น IFF/REIT/Utilities ถือเป็นอีกกลุ่มที่ได้อานิสงส์ จากภาพ Dividend yield gap ของกลุ่มที่ สูงขึ้น
• ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของเราล่าสุด พบว่าหุ้นขนาดกลาง-ใหญ่ (Market cap > 10bn) ในกลุ่มเหล่านี้ที่ยังคงมี Valuation ต่ํากว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังอยู่ จะได้แก่ SAWAD, TIDLOR, KTC, JMT, SAK ในกลุ่ม ไฟแนนซ์, QH ในกลุ่มที่อยู่อาศัย ส่วนหุ้นกลุ่ม IFF/REIT/Utilities ที่เรา ชื่นชอบ ยังคงได้แก่ DIF, CPNREIT, EGCO
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities