ปลดล็อคข้อมูลพรีเมียม: ส่วนลดสูงสุดถึง 50% InvestingProรับส่วนลด

หวังว่าจะเห็นจุดเปลี่ยนทางบวกใน 2H67

เผยแพร่ 28/06/2567 09:35
GC
-

26 วันทำการที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นบ้านเราทุก วัน โดยมียอดขายสุทธิสะสม 4.9 หมื่นล้านบาท สถิติจำนวนวันการขาย ต่อเนื่องดังกล่าว เทียบเท่ากับช่วงที่เกิด HAMBURGER CRISIS ในปี 2008 และเป็นรองเพียงปี 1994 ก่อนเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซึ่งต่างชาติขาย สุทธิต่อเนื่อง 27 วัน ภาวะการขายดังกล่าวถือเป็นแรงกดดันหลักของ SET INDEX อย่างไรก็ตามเรายังมีความคาดหวังเชิงบวกต่อทิศทางของ ตลาดในช่วง 2H67 เนื่องจากเห็นแรงหนุนจากหลายกลไกเข้ามาทำงาน พร้อมกัน เริ่มจากภาพเศรษฐกิจไทยที่เชื่อว่าจะฟื้นตัวเป็นขั้นบันได การ เริ่มบังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่ๆ ของ SET เช่น UPTRICK RULE , การดูแล PROGRAM TRADING ฯลฯ และที่สำคัญคือการเกิดขึ้นของกองทุนที่จะ เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย ทั้งTESG และ วายุภักษ์ มองเห็นหลายกลไกที่น่าจะช่วยขับเคลื่อน SET INDEX ในช่วง 2H67 เทียบกับช่วง 1H67 ที่ขาดปัจจัยหนุน วันนี้คาดกรอบ 1305 – 1317 จุด หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BDMS และ CPN

เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง ยังมีความหวังจากหลายปัจจัยบวก ภาพรวมเศรษฐกิจบ้านเราในช่วงปีที่ผ่านมา ถือว่าขยายตัวในระดับที่ค่อนข้างต่ำ โดย GDP ไทยงวด 1Q67 ออกมา +1.5%YOY เท่านั้น (GDP ไทยโตต่ำสุดใน ASEAN) อย่างไรก็ตามระยะถัดไปคาดหวังเศรษฐกิจไทยเติบโตแบบขั้นบันได โดยBLOOMBERG คาดการณ์ GDP GROWTH ใน 2Q67 +2.1%YOY, 3Q67 +2.6%YOY, 4Q67 +3.8%YOY ขณะที่ตลอดปี 2567 สำนักเศรษฐกิจต่างๆ ที่คาด GDP GROWTH บ้านเราอาจเติบโตราว 2.4%YOY -2.7%YOY

สำหรับสาเหตุหลักมาจากบทบาทของนโยบายการคลัง ที่ทยอยเดินหน้าที่เป็นตัว ขับเคลื่อน GDP GROWTH ไทย ซึ่งเชื่อว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนมากขึ้นในช่วง 2Q67-4Q67 ขณะที่เป้าหมายการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยของภาครัฐฯ ส่วนใหญ่จะเน้น ไปที่3 เรื่อง หลักๆ ดังนี้

1. การใช้จ่ายภาครัฐ (G) ผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 วงเงิน 3.60 ล้านล้านบาท เฉพาะอย่างยิ่งด้านการลงทุน และเห็นความต่อเนื่องของการใช้ จ่ายงบประมาณปี 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท

2. การบริโภคภาคครัวเรือน (C) ตั้งแต่รัฐบาลเตรียมปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท/วัน(เริ่ม 1 ต.ค.67) และการมีโครงการ DIGITAL WALLET 10,000 บาท/คน ที่จะเริ่มใช้ได้ในช่วงไตรมาส 4 อีกทั้งภาครัฐยังมีมาตรการส่งเสริม ภาคท่องเที่ยวต่อเนื่อง

3. การลงทุนเอกชน (I) ยังมีแนวโน้มเติบโตเด่น หลังต่างชาติที่ได้รับการส่งเสริม ลงทุน มีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 5M67 ทะลุ 7.1 หมื่นล้านบาท และ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 58%YOY

ส่วนในมุมของตลาดการเงินช่วงครึ่งปีหลัง ยังมีแรงบวกจากหลายๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะ เป็นมาตรการสร้างความเชื่อมั่นของ SET เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งการควบคุม SHORT SELL, UPTICK RULE ทุกบริษัท (การประกาศใช้กฎในวันที่ 1 ก.ค.67), DPB (DYNAMIC PRICE BAND) รวมไปถึงการออกกองทุน TESG และกองทุน วายุภักษ์ 3 ซึ่งน่าจะเห็นเม็ดเงินเข้ามาในระบบ ช่วยดัน SET INDEX ขยับขึ้นได้อีกครั้ง สรุป ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ยังมีความหวังแรงบวกจากหลายๆ ภาคส่วน ตั้งแต่ เศรษฐกิจไทยเติบโตแบบขั้นบันได มาตราการเรียกความเชื่อมั่นตลาดทุน และรอคอย เม็ดเงินไหลเข้าระบบจากกองทุน TESG และ กองทุนวายุภักษ์

การลดดอกเบี้ยในไทย อาจไม่เกิดขึ้นในปีนี้ หนุนค่าเงินบาทมี เสถียรภาพมากขึ้น

หลังอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือน พ.ค. +1.54%YOY (สูงกว่าคาด 1.2%) ขยายตัว ต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ +0.19%MOM ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงมีแน้วโน้ม ปรับตัวลดต่อเนื่อง จนล่าสุดอยู่ที่ 0.96% (ดอกเบี้ย 2.5% - เงินเฟ้อ 1.54%) ซึ่งอยู่ใน ระดับต่ำกว่าหลายๆ ประเทศ อาทิ อังกฤษ 3.25% , สหรัฐฯ 2.20%, ยุโรป 1.65% เป็นต้น ซึ่งประเด็นดังกล่าว อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ FUND FLOW ชะลอการไหลออก ได้ และหนุนให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้นในอนาคต

ขณะที่ระยะถัดไป BLOOMBERG คาดการณ์เงินเฟ้อไทยใน 2Q67 จะขยับขึ้นเป็น +0.6%YOY และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นใน 3Q67-4Q67 ที่ระดับ 1.1%YOY – 2.0%YOY ประเด็นดังกล่าว สอดคล้องกับมุมของของ ธปท.ที่คาดกรอบเงินเฟ้อไทยในปีนี้จะอยู่ ในช่วง 1%YOY -3%YOY ซึ่ง กนง.มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2.5% อยู่ในระดับ ที่สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจเข้าสู่ศักยภาพและเงินเฟ้อที่ปรับดีขึ้น รวมทั้งเอื้อต่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงินในระยะยาวแล้ว ทำให้เราอาจไม่ เห็นการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในปีน

สรุป หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาดีขึ้นทั้ง GDP GROWTH และ CPI จึงทำให้ กนง.ยังไม่ส่งสัญญาณ DOVISH ในปีนี้ ประเด็นดังกล่าว จึงทำให้ค่าเงินบาทมีโอกาส แข็งค่าระยะถัดไป และลุ้น FLOW ต่างชาติไม่ไหลออกจากบ้านเราไปมากกว่านี้

ต่างชาติขายหุ้นติดต่อกันนาน 26 วันทำการ นานสุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์ ตลอดช่วง 1 เดือนกว่าๆ (21 พ.ค. – 27 มิ.ย. 67) หรือราว 26 วันทำการ ต่างชาติขาย สุทธิหุ้นไทยติดต่อกันทุกวัน และเป็นการขายสุทธิติดต่อกันนานสุดเป็นอันดับ 2 ใน ประวัติศาสตร์ ด้วยมูลค่ารวมเกือบ 5 หมื่นล้านบาท กด SET INDEX ปรับตัวลงมา - 5%

สะท้อนได้จาก ข้อมูลที่ฝ่ายวิจัยฯ ทำการศึกษา FUND FLOW ย้อนหลังทั้งหมดที่ทาง ตลาดหลักทรัพย์เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่ปี 2535 ถึงปัจจุบัน โดยการหาช่วงเวลาและ เหตุการณ์ต่างๆ ที่ต่างชาติขายสุทธิติดต่อกันนานสุด 10 อันดับแรก พบว่า อันดับที่ 1 คือ ที่ต่างชาติขายสุทธิติดต่อกันสูงสุดเป็นประวัติการณ์ คือ 27 วันทำการ เกิดขึ้น ในช่วงปี 2537 เป็นช่วงก่อนเกิดวิฤตต้มยำกุ้ง ต่างชาติขายสุทธิไป 2.3 หมื่นล้านบาท และอันดับอื่นๆ จะสังเกตได้ว่าเป็นช่วงที่ตลาดหุ้นไทยได้เผชิญกับวิกฤตต่างๆ เช่น ช่วง วิกฤตซับไพร์ม, วิกฤตดอทคอม, สงครามการค้าจีน สหรัฐ, ช่วงพฤษภาทมิฬ และ วิกฤตโควิด เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม VALUATION อยู่ในระดับที่น่าสนใจมาก ณ SET INDEX ที่ 1300 จุด มี P/E67F ที่ต่ำเพียง 14.2 เท่า (ต่ำกว่า -1SD), PBV 1.22 เท่า (ต่ำกว่า -2SD) และ DIVIDEND YIELD สูงถึง 3.5% (สูงกว่า+1SD) บวกกับความคืบหน้าการเดินหน้า กระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ, รอรับเม็ดเงินจากกองทุน THAIESG ใหม่เข้ามาหนุน และเริ่มเพิ่มเสถียรภาพจากตลาดหลักทรัพย์ อย่าง UPTICK คาดจะช่วยหนุนให้ดัชนี ค่อยๆ ทยอยฟื้น รวมถึงต่างชาติอาจจะค่อยๆ ขายสุทธิเบาลงได้

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย