คำว่าเปราะบาง แต่ไม่แตกหัก น่าจะใช้ได้ทั้งสำหรับสถานการณ์ความเสี่ยงเชิงภูมิ รัฐศาสตร์ และ ตลาดหุ้นไทย โดยในส่วนของภูมิรัฐศาสตร์กรณี อิสราเอลอิหร่าน แม้จะมีความเปราะบางของสถานการณ์ แต่ก็ยังเชื่อว่าจะยังไม่เห็นความ รุนแรงที่เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่แตกหักนำไปสู่การขยายวงของสงครามในตะวันออก กลาง ทั้งนี้ประเมินจากระดับความยับยั้งชั่งใจของทั้ง 2 ฝ่ายรวมถึงพันธมิตรรอบ ข้าง แต่อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องที่ยังประมาทไม่ได้ ส่วน SET INDEX ด้วยระดับที่ ลงมาแรงใกล้ 1330 จุด เรามองว่าสะท้อนถึงความเปราะบางในมุมของความ เชื่อมั่น แต่ก็ไม่น่าจะเปิด DOWNSIDE ไปมาก เนี่องจาก VALUATION ที่อยู่ใน เกณฑ์ต่ำไม่ว่าจะมองผ่าน PER, PBV หรือ MARKET EARNING YIELD GAP ภายใต้สถานการณ์แวดล้อมดังกล่าวในเชิงกลยุทธ์เห็นว่าเป็นบริเวณสะสมหุ้น ส่วนแรงขับเคลื่อน SET INDEX จากนี้จะมีน้ำหนักของกำไร1Q67เพิ่มขึ้น
SET INDEX หลุดระดับ 1350 จุด ลงมาและทดสอบแนวรับที่ 1330 จุด วันนี้คาด ว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1325 – 1345 จุด แนะนำทยอยสะสมหุ้นเข้าพอร์ต หุ้น TOP PICK เลือก ADVANC, BJC และ MTC
พัฒนาการสงครามยังต้องติดตาม หวั่นผลักเงินเฟ้อขยับขึ้น
สินทรัพย์ทั่วโลกผันผวนหนักเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จากความกังวลการขยายวงกว้าง ของสงคราม หลังมีกระแสข่าวว่าเกิดเสียงระเบิด 3 ครั้ง ที่เมืองทางตอนใต้ของอิหร่าน ซึ่งมีโรงงานนิวเคลียร์ตั้งอยู่ แต่ในเวลาต่อมา ทางการอิหร่านออกมายืนยันว่า เสียง ระเบิดดังกล่าวเป็นการยิงสกัดกั้นโดรน 3 ลำ ที่มาจากในอิหร่านเอง และไม่พบความ เชื่อมโยงอิสราเอล ซึ่งส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการตอบโต้เกิดขึ้น ส่งผลให้ราคา น้ำมันดิบ BRENT ที่ดีดตัวขึ้นไปสูงกว่า +3% ย่อตัวลงมาเหลือ +0.2% ขณะที่ตลาด หุ้นหลายประเทศเริ่มเห็นการฟื้นกลับมาติดลบน้อยลง สะท้อนตลาดการเงิน ตอบสนองกับเหตุการณ์ดังกล่าวไปในระดับหนึ่งแล้ว
อย่างไรก็ตามความเสี่ยงเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่าง ใกล้ชิด เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่มักผลักให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้น จนอาจทำให้เงินเฟ้อควบคุมได้ยาก
ขณะที่บ้านเรามีหลายปัจจัยอาจเข้ามาเป็นแรงกระตุ้นให้เงินเฟ้อขยับขึ้นได้ ในระยะ ข้างหน้า อาทิ การปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันโลกจากความเสี่ยงสงคราม และราคา สินค้าทางการเกษตรจากภูมิอากาศแปรปรวน อีกทั้งมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ ของรัฐบาล ได้เริ่มทยอยหมดอายุ เป็นต้น ภาวะดังกล่าวมีโอกาสหนุนให้ กนง. ยืดเวลาการคงดอกเบี้ยใว้ระดับสูงที่ 2.5% ยาวนานขึ้นได้
สรุป ความเสี่ยงเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่มักผลักให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ปรับตัว สูงขึ้น จนอาจกดดันให้เงินเฟ้อความคุมได้ยาก จนอาจเป็นแรงหนุนให้ธนาคารกลาง ต่างๆ ยืดระยะเวลาการผ่อนคลายนโยบายการเงินออกไป
สงครามกด SET ลงลึก จนหุ้น DEEP VALUE เริ่มปรากฎ
ในช่วงหลังสงกรานต์ ประเด็นสงครามตะวันออกกลางกดดันให้ SET INDEX ลงมาลึก ถึง 64 จุด หรือราว -4.5% มาอยู่ที่ 1332 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี 5 เดือน
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SETINDEX มีโอกาสรีบาวน์กลับได้บ้าง ด้วยปัจจัย ต่างๆ และเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่าความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ มีผลกระทบต่อตลาดหุ้น ไทยจำกัด ดังนี้
▪ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผย มีเพียงบริษัทเดียวที่มีบริษัทย่อยในอิสราเอล รายได้ในปี 2565 เท่ากับ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 0.26% ของรายได้ จากต่างประเทศเท่านั้น
▪ ทางตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยข้อมูลนักลงทุน “อิสราเอล-อิหร่าน” ถือครอง หุ้นไทย ณ เดือน ส.ค. 66 รวมกันแค่ 141 ล้านบาทเท่านั้น (อิสราเอล 117 ล้านบาท และอิหร่าน 24 ล้านบาท)
▪ เช้านี้ดัชนี DOW JONES FUTURES พลิกฟื้นขึ้นมาเกือบ 900 จุด จากจุด ต่ำสุดในวันศุกร์ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันฝ่ายวิจัยฯ เริ่มเห็นหุ้นใน SET INDEX หลายๆ บริษัทลงลึกเกินไปเมื่อ เทียบกับพื้นฐาน ทั้ง P/E เหลือ 14.5 เท่า (ต่ำกว่า -1SD ในรอบ 10 ปี) และ SET INDEX ปัจจุบัน 1332 จุด สูงกว่าจุดต่ำสุดวันที่ 13 มี.ค. 63 (วันที่เกิด 2 CIRCUIT BREAKER) ที่ 969 จุด อยู่ 37.5% อย่างไรก็ตามกลับมีหุ้นหลายๆ บริษัทกำไรยังมี แนวโน้มฟื้นตัวได้ดีในปีนี้ แต่ราคากลับลงไปบริเวณจุดต่ำสุด ณ วันที่ 13 มี.ค. 63 แล้ว ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ มำการค้นหา “หุ้น DEEP VALUE ลงลึกเทียบกับวันที่ SET ทำจุด ต่ำสุดที่ 969 ในปี 2563 แต่แนวโน้มกำไรปี2567 ยังดี”
จากรายชื่อดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำทยอยสะสมหุ้น EGCO, BGRIM, CPF, BJC, CPALL (BK:CPALL), SCC, STEC, TASCO, IRPC ในช่วงที่ SET INDEX ลงมาลึกกว่าพื้นฐานที่ ควรจะเป็นเช่นนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities