ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานมีน้ำหนักทางลบ เริ่มจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัว ลดลงราว 1% บนความกังวลเรื่องผลประกอบการของ TESLA บวกกับ กำหนดการปรับลดดอกเบี้ยของ FED ที่อาจจะนานขึ้น ถัดมาเป็นประเด็นความ เสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งสถานการณ์ในตะวันออกกลางดูไม่ดี โดยอิสราเอลได้โจมตี สถานกงสุลของอิหร่านใน ซีเรีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย และยังโจมตีทางอากาศ ในกาซา ทำให้องค์กรอิสระที่ช่วยเหลือทางด้านอาหาร (WKC) มีเจ้าหน้าที่ อาสาสมัครต่างชาติเสียชีวิต 7 ราย ภาวะดังกล่าวอาจกระตุ้นให้ราคานำมันปรับ ขึ้น ส่วนในบ้านเรา ครม. เห็นชอบการขยายกรอบวงเงินงบประมาณปี 2568 เพิ่ม 1.5 แสนล้านบาท ทำให้ขาดดุลงบประมาณเพิ่มเป็น 8.6 แสนล้านบาท ปัจจัย แวดล้อมดังกล่าวมาข้างต้นมีส่วนทำให้เงินบาทอ่อนค่า THEME การลงทุน วันนี้ เพิ่มเติมกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งได้ประโยชน์จาก นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว ระยะสั้นปัจจัยแวดล้อมยังไม่เอื้อต่อการที่ SET INDEX จะกลับตัวขึ้นไปได้ โดย วันนี้คาดเคลื่อนไหวกรอบ 1373 – 1385 จุด แต่ในระยะกลางยังมองว่ามีโอกาส ทอยสะสมหุ้น โดย หุ้น TOP PICK เลือก CBG, CENTEL และTASCO
หลายปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวระดับสูง ดีต่อหุ้น PTT (BK:PTT) PTTEP TOP SPRC
วานนี้ ราคาน้ำมันดิบ BRENT/WTI ปรับตัวขึ้น 1.7% และ 0.5% ตามลำดับ หลัง ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ในฝั่งของตะวันออกกลางยังคงตึงเครียดขึ้น 2 จุด 1. อิหร่านประกาศว่าจะตอบโต้อิสราเอล หลังจากอิสราเอลโจมตีสถานกงสุลอิหร่าน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 7 ราย 2.กองทัพยูเครนได้ส่งโดรนโจมตีหนึ่งในโรงกลั่นน้ำมัน ขนาดใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ขณะที่รัสเซียซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันราย ใหญ่ของโลกก็ทำการโจมตีสาธารณูปโภคด้านพลังงานของยูเครนเช่นกัน ประเด็น ดังกล่าวจึงทำให้ SUPPLY น้ำมันดิบมีโอกาสชะลอตัวลงในอนาคต และหากพิจารณา ในฝั่ง DEMAND น้ำมันดิบก็มีแนวโน้มดูดีขึ้น หลังตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ ISM ภาคการผลิต สูงเกิน 50.3 จุด เช่นเดียวกับ จีน อาทิ PMI ภาคการผลิต 50.8 จุด และสูงสุดในรอบ 1 ปีภาพรวมทำให้ราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้นในอนาคตได้ ขณะที่หากพิจารณาราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยเดือน เม.ย. 67 ปรับขึ้น 6.7%YOY อยู่ที่ 84.8 เหรียญฯ/บาร์เรล
ขณะที่วันนี้ติดตามการประชุม OPEC+ ซึ่งตลาดคาดว่ายังไม่มีแนวโน้มที่จะ เปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตน้ำมันก่อนที่จะถึงวันประชุมรัฐมนตรีกลุ่มพลังงานของ OPEC+ ในวันที่ 1 มิ.ย.67 โดยมติเดิม คือ การลดกำลังการผลิต 2 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงสิ้นปีน
กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นกลุ่มโรงกลั่นที่ราคาหุ้นยัง LAGGARD ราคาน้ำมันดิบอยู่ มาก โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ทำจุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน หรือ +15% ขณะที่หุ้นไทย ที่เกี่ยวข้อง อาทิ PTT -4.9% PTTTEP +3.7% TOP +9.7% IRPC -4.5% SPRC +7.3% BCP +3.4% ซึ่งปรับตัวขึ้นน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบ WTI ทั้งสิ้น จึงถือเป็น โอกาสสะสมเพื่อหวังผลตอบแทนระยะสั้น-กลางได้
สรุป ปัจจัยภายนอกล้วนแต่หนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นต่อ จากความกังวล SUPPLY ชะลอตัว และแรงหนุนจากฝั่ง DEMAND ที่เพิ่มขึ้น คาดหนุนให้ SET INDEX วันนี้แข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นอื่นได้ โดยคาดกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่ระดับ 1373 - 1385 จุด ส่วนหุ้นที่คาดได้ประโยชน์ คือ PTT PTTEP TOP SPRC
ตลาดหุ้นโลกผันผวน เสี่ยงกดดัน VOLUME เบาบาง
ความร้อนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงมากนัก เฉพาะอย่าง ยิ่งในภาคแรงงาน โดยตัวเลขเปิดรับสมัครงานสหรัฐฯ ล่าสุด เดือน ก.พ. 67 เพิ่มขึ้น จากเดือนก่อน 8,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จากแรงผลักของราคาน้ำมัน ล้วนปัจจัยที่เข้ามาเพิ่มระดับความกังวลเรื่อง การคง ดอกเบี้ยของ FED ที่นานกว่าตลาดคาด ซึ่งอาจลากยาวไปจนถึงเดือน มิ.ย. 67 หรือ อาจเห็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในเดือน ก.ค. 67
ภาวะดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดการเงินโลกผันผวนในช่วงนี้ พร้อมกับหนุนให้เม็ดเงิน ไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยง เข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น โดยดัชนีหุ้น DOW JONES ร่วงลง 2 วันติดต่อกันราว 600 จุด ซึ่งวานนี้ดิ่งลงราว 1% ขณะที่ DOLLAR INDEX แข็งค่าขึ้นราว 0.26%MTD สู่ระดับ 104.8 จุด กดดันให้เงินบาทอ่อนค่ามาก สุดในรอบ 6 เดือน สู่ระดับ 36.4 บาท/USD
ขณะที่การประชุม ครม. บ้านเราวานนี้ มีมติเห็นชอบในวาระที่สำคัญ ในการตั้งขาดดุล งบประมาณปี 2568 เพิ่มขึ้น 1.527 แสนล้านบาท รวมขาดดุลทั้งหมดเป็น 8.75 แสน ล้านบาท ซึ่งคาดว่าอาจเป็นการหาแหล่งเงินทุน เดินหน้าดำเนินโครงการเติมเงินผ่าน กระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในอีกแง่มุมหนึ่งยังติดต้องติดตาม ผลลัพธ์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากการใช้งบประมาณทำโครงการ DIGITAL WALLET วงเงิน 5.6 แสนล้าน ด้วยเงินกู้อาจกระทบกับวินัยทางการคลัง และเสี่ยงต่อการปรับ ลด CREDIT RATING ของไทยได้เช่นกัน
สรุป ตลาดการเงินโลกที่ผันผวนหนักในช่วงนี้ หนุนให้เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์ เสี่ยง เข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ซึ่งอาจเป็น SENTIMENT เชิงลบส่งผ่านมายัง ตลาดหุ้นไทยให้มี VOLUME การซื้อขายที่เบาบางลงได้
มูลค่าซื้อขายจำกัด แนะหุ้น 3 ธีม รับเม็ดเงินหมุนเข้ามาหนุน
วานนี้ตลาดหุ้นไทยทรงตัว -0.02 จุด อยู่ที่ 1379.46 จุด แต่มีมูลค่าซื้อขายที่หนาแน่น ขึ้นเป็น 3.8 หมื่นล้านบาท หลังจากเบาบางต่ำกว่า 3 หมื่นล้านบาท ในช่วง 2 วันทำ การที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดหุ้นโลกหลายแห่งหยุดทำการชั่วคราว
ขณะที่วันนี้ตลาดหุ้นโลกผันผวน และเม็ดเงินผลักดันตลาดหุ้นไทยยังจำกัด ดังนั้นการ ขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยน่าจะเป็นการหมุนไปเข้าหุ้นที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ ทำการค้นหากลุ่มหุ้นไทยที่ราคา LAGGARD กว่าปัจจัยบวก เฉพาะตัวที่เข้ามาหนุน โดยคาดหวังจะมีเม็ดเงินเข้ามาหนุนเพิ่มเติมในช่วงนี้ดังนี้
▪ หุ้นได้ประโยชน์บาทอ่อนค่า ซึ่งปัจจุบันค่าเงินบาทอยู่ที่ 36.64 บาท/เหรียญ อ่อนค่ามาแล้ว +6.8%YTD และอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่หุ้น ส่งออกยัง LAGGARD อยู่มาก คือ KCE -27%YTD, HANA -25%YTD, CPF -7.6%YTD, TU -2%YTD, CENTEL -0.6%YTD
▪ หุ้นอิงเศรษฐกิจจีน ซึ่งปีนี้ตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นฮ่องกงพลิกกลับมาเป็น บวก แต่หุ้นไทยอิงเศรษฐกิจจีนยัง LAGGARD อยู่มาก คือ SCGP - 17%YTD, SCC -15.4%, IVL -8.3%, CENTEL -0.6%YTD
▪ หุ้นอิงราคาน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ 85 เหรียญ/บาร์เรล ขึ้นมาแล้ว 15%YTD และยังทำจุดสูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่หุ้นไทยอิงราคาน้ำมันยัง LAGGARD คือ PTT -4.9%YTD, IRPC -4.5%YTD, PTTEP +3.7%YTD, BCP +3.4%YTD, SPRC +7.3%YTD, TOP +9.8%YTD
ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า หุ้น 3 กลุ่มดังกล่าว น่าสะสม และน่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาหนุนเพิ่มเติม ให้ฟื้นกลับมา OUTPERFORM ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ได้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities