Economic Highlight
ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE และดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ รวมถึงรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซนและญี่ปุ่น นอกจากนี้ ควรรอลุ้นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการล่าสุด
**ราคาทองคำ = สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.
FX Highlight
- เงินบาทเคลื่อนไหว sideways down ตามที่เราได้ประเมินไว้ หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และแรงซื้อสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ
- เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มแผ่วลง หลังเงินดอลลาร์เริ่มขาดปัจจัยสนับสนุน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างเชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุด ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินโดยรวมก็อาจอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง
- อนึ่ง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด นั้นจะขึ้นกับ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง อัตราเงินเฟ้อ PCE ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (ISM Manufacturing PMI) และ ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
- อย่างไรก็ดี เงินบาทยังพอมีปัจจัยกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง จากความเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับรัฐบาล ต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ซึ่งรัฐบาลได้ส่งสัญญาณอย่างต่อเนื่องให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายลงเพื่อพยุงเศรษฐกิจ
- นอกจากนี้ ในช่วงปลายเดือนเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้นำเข้า ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นได้มาก หากไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าที่ชัดเจน
- และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น เราคงมองว่า โฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำ ยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้ เช่นเดียวกันกับ ทิศทางของสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะ เงินหยวนจีน (CNY) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับทิศทางเงินบาทพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา
- สำหรับ ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เรามองว่า แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติอาจยังมีอยู่บ้าง หลังดัชนี SET ได้รีบาวด์ขึ้นใกล้โซนแนวต้าน พร้อมกับการทยอยแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินบาท ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรหุ้นไทยได้
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจากทั้ง RSI และ MACD (Time Frame รายวัน) ชี้ว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทได้แผ่วลง เปิดโอกาสให้เงินบาทแกว่งตัว sideways หรือแข็งค่าขึ้นบ้าง
- ส่วนของ Time Frame ที่สั้นลง เช่น H4 และ H1 สัญญาณจากทั้ง RSI และ MACD ต่างชี้ว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways โดยยังมีโซน 35.70-35.80 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญ (สอดคล้องกับโฟลว์ธุรกรรมซื้อเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดช่วงนี้) ซึ่งจะมีโซน 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับสำคัญถัดไป ขณะที่แนวต้านสำคัญจะอยู่ในช่วง 36.15-36.20 บาทต่อดอลลาร์ นอกจากนี้ ในส่วน Time Frame H4 หรือแม้กระทั่ง Time Frame รายวัน เงินบาทก็เหมือนกำลังอยู่ในรูปแบบ Rising Wedge ซึ่งอาจชี้ว่า เงินบาทมีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
Gold Highlight
- แม้ว่าเงินดอลลาร์โดยรวมจะย่อตัวลง ทว่า บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ทำให้ราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหว sideways ในกรอบ 2,020-2,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์
- เราคงประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำจะขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินก็จะส่งผลกระทบต่อราคาทองคำได้พอสมควร
- ทั้งนี้ เรามองว่า ราคาทองคำ หากย่อตัวลงหรือปรับฐาน ก็จะไม่รุนแรงนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดได้เริ่มประเมินว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด ซึ่งภาพดังกล่าวก็จะจำกัดการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ
- อย่างไรก็ดี ควรระวัง ราคาทองคำอาจผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ฝั่งยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, BOE และ ECB ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของบรรดาธนาคารกลางหลักดังกล่าว
- และที่สำคัญ บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในตลาดการเงินก็อาจกดดันราคาทองคำต่อได้ ทำให้โดยรวมราคาทองคำจะยังคงแกว่งตัว sideways จนกว่าจะมีปัจจัยหนุนการปรับตัวขึ้นที่ชัดเจน
- ในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI และ MACD (Time Frame รายวัน) ชี้ว่า ราคาทองคำอาจแกว่งตัว sideways สอดคล้องกับสัญญาณจาก Time Frame ที่สั้นลง อย่าง H4 และ H1 โดยแนวต้านของราคาทองคำยังคงเป็นช่วง 2,050-2,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และมีโซน 2,020 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็นแนวรับในช่วงนี้