A brief pause
• SET: ประเมินต่อจากวานนี้ว่า ดัชนี SET มีโอกาสสร้างฐานในระยะสั้นอยู่ แถวบริเวณ 1400 จุดบวกลบ อย่างไรก็ดี การปรับตัวของดัชนีที่น่าจะเจอ จุดต่าสุดไปแล้วที่บริเวณ 1366 จุด น่าจะทําให้กลยุทธ์การลงทุนต่อจากนี้ เป็นไปโดยง่าย น โดยเฉพาะการ Buy & Hold สําหรับสัญญาณ Fund flow แม้ว่าในตลาดหุ้นจะยังไม่ชัดเจนนัก แต่ในตลาดตราสารหนี้ วานนี้นักลงทุนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิถึง 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่ง น่าจะมีสาเหตุมาจากรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยที่ออกมาก้าวเข้าสู่ระดับติด ลบ (รายละเอียดด้านล่าง)
• China: สําหรับปัจจัยวันนี้ แนะน่าติดตามรายงานตัวเลขส่งออก-น่าเข้า ของจีนประจําเดือนต.ค. ล่าสุดตลาดคาดการณ์โหดด้วที่ 3.5% YoY และ หดตัวที่ 5.0% YoY ตามล่าดับ
• Strategy: ในเชิงกลยุทธ์ หากเห็นดัชนี SET ลงไปต่ํากว่าระดับ 1410-1415 จุดอีกครั้ง มองเป็น Safe Zone ที่น่าสนใจสําหรับการเข้า ลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่อาจจะยังไม่ได้เพิ่มน่าหนักการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา มากนัก เนื่องจากระดับดังกล่าวถือเป็นระดับเทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ณ จุดต่าสุดของการปรับฐานในแต่ละรอบของ SET ในอดีต (1.39x) และยัง เป็นระดับดัชนีที่เหมาะสมในกรณีฐานจากวิธี PE Model ของเราอีกด้วย (12.5x Fwd PE) โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจมากที่สุด เรายังคงมองไปยังกลุ่ม ค้าปลีก (รายละเอียดด้านล่าง) โดยเฉพาะกลุ่ม Consumer staple อย่าง BJC, CPALL (BK:CPALL), CPAXT เป็นต้น
• Picks: ส่วนกลุ่มหุ้นอื่นๆที่ประเมินว่ามีโอกาส Outperform ตลาดในระยะ
1) REIT / IFF / Utilities โดยเฉพาะกลุ่ม Utilities อย่างโรงไฟฟ้าที่ Valuation ของหุ้นเหล่านี้อยู่ในโซนต่ามากเกินไปแล้ว เช่น BGRIM, GPSC (ล่าสุด GPSC รายงานก่าไรไตรมาส 3 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ไว้)
2) กลุ่ม Rate-sensitive อย่าง ไฟแนนซ์ ตาม Bond yield ที่ลดลง อาทิ SAWAD, MTC, TIDLOR (ล่าสุด TIDLOR รายงานก่าไรไตรมาส 3 ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้)
3) กลุ่ม ETRON ที่มีความสัมพันธ์เชิงราคาในระดับสูงกับทางดัชนี NASDAQ a DELTA, KCE, HANA สั่นต่อ ได้แก่
4) หุ้นที่เราคานวณว่ามีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าสู่ดัชนี SET50 และ SET100 ในช่วงถัดไป ได้แก่ KCE, ITC, SISB, SAPPE, RBF, ICHI, MOSHI, TKN, THCOM, MAJOR
5) หุ้นในกลุ่มเรือ Container และ Logistics เช่น RCL, LEO, SONIC, WICE, III หลังค่าระวางเรือ Container ที่เซี่ยงไฮ้ปรับตัวสูงขึ้นท่า จุดสูงสุดใหม่ของปีนี้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
• Factors: สําหรับปัจจัยสําคัญที่เกิดขึ้นล่าสุด ได้แก่
1) รายงานตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) ของไทยประจําเดือน ตุลาคมออกมาหดตัวที่ 0.31% YoY และ 0.28% MoM สวนทางกับที นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 0.05% YoY และ 0.15% MoM การหด ตัว YoY นั้นถือเป็นการหดด้วครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2021 สาเหตุหลักจากการลดลงของราคาสินค้ากลุ่มพลังงาน และสินค้า อุปโภค-บริโภค เนื่องจากมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ รวมทั้ง เนื้อสุกร และผักสด ที่ราคาต่ากว่าปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ประเมินแรงกดดัน เงินเฟ้อที่ลดลงอย่างมากนี้ ถือเป็นตัวตอกย้ําแนวนโยบาย การเงินของธปท.ที่น่าจะได้มีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายสู่ระดับ 2.50% ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Trinity Securities