ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ต.ค.66 ของบ้านเรา ออกมา -0.28% MOM และ -0.31% YOY ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการลดค่าครองชีพเฉพาะอย่างยิ่งค่าพลังงาน ของรัฐบาล อย่างไรก็ตามหากมองในมุมของ CORE INFLATION ยัง + เบาๆ ที่ 0.08% MOM และ 0.66%YOY ภาพรวมถือได้ว่าประเด็นเรื่องเงินเฟ้อไม่ได้เป็น ปัญหาสำหรับบ้านเรา และภายใต้ภาวะดังกล่าวเชื่อว่าน่าจะทำให้ทิศทางอัตรา ดอกเบี้ยจากนี้ไปจะมีความนิ่งมากขึ้น และก็จะส่งผลทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงิน บาท มีความนิ่งตามไปด้วย องค์ประกอบดังกล่าวช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน และน่าจะมีส่วนช่วยดึงเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นได้บางส่วน ประเด็นอื่นที่น่าติดตาม ยังเป็นสงครามอิสราเอล-ฮามาส ที่ยังละสายตาไม่ได้ ส่วนบ้านเรา DIGITAL WALLET น่าจะชัดเจนขึ้นโดย 10 พ.ย. นายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้แถลงรายละเอียด
ประเมินปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานมีน้ำหนักทางบวก ซึ่งน่าจะช่วยหนุนให้ SET INDEX สามารถขยับตัวขึ้นไปได้ กำหนดแนวต้านที่บริเวณ 1425 – 1430 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1412 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก CRC, TU และ WHA
ตลาดหุ้นทรงๆ หลังเงินเฟ้อชะลอตัวคาดดอกเบี้ยจบรอบขาขึ้น
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐ-ยุโรปเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ หลังอยู่ในช่วงของการติดตาม ทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ โดยประธาน FED จะมีการกล่าวถ้อยแถลง 2 ครั้ง ในสัปดาห์นี้ ได้แก่ วันที่ 8 พ.ย. เวลา 21.15 น. (ตามเวลาไทย) ในการประชุมวาระครบรอบ 100 ปี ของการก่อตั้งแผนกสถิติและวิจัยของ FED และวันที่ 10 พ.ย.เวลา 02.00 น. (ตาม เวลาไทย) ในงานเสวนา 24TH JACQUES POLAK ANNUAL RESEARCH CONFERENCE ของ FED นอกจากนี้ยังต้องเฝ้าระวังการทำสงครามอิสราเอล-ฮา มาส ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น อีกทั้งสถานการณ์อาจพลิกผันได้ตลอดเวลา หลังสหรัฐส่งเรือดำน้ำติดขีปนาวุธเข้าตะวันออกกลาง
ในส่วนของบ้านเรากระทรวงพาณิชย์ได้รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ต.ค. - 0.31%YOY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ +0.1%YOY และเดือนก่อนที่ 0.3%) ซึ่ง ลดลงครั้งแรกในรอบ 25 เดือน นับตั้งแต่ ส.ค. 2564 หลังราคาพลังงานปรับตัวลดลง รวมถึงการชะลอตัวของราคาสินค้าอุปโภคบริโภค เนื่องจากมาตรการลดค่าครองชีพ ของภาครัฐ ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 10 เดือนแรก +1.6%AOA ส่วน CORE CPI ล่าสุด +0.66 %YOY
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์คาดว่าเงินเฟ้อไทยเดือน พ.ย.66 มีแนวโน้มลดลงจาก ราคากลุ่มอาหาร และยังอยู่ในช่วงที่ภาครัฐช่วยลดค่าน้ำมัน-ค่าไฟ บวกกับฐานราคา ช่วงเดียวกันของปี 2565 อยู่ในระดับสูง โดยกระทรวงพาณิชย์ประเมินเงินเฟ้อปีนี้ เฉลี่ยอยู่ที่ 1.35%YOY (1.0-1.7%)
ขณะที่แนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีแนวโน้มลดลง ภายใต้สมมติฐาน CPI GROWTH รายเดือนของช่วงถัดไปเท่ากับเดือน ต.ค. ที่ระดับ -0.28%MOM จะทำให้ เงินเฟ้อเดือน พ.ย. – ธ.ค. 66 อยู่ที่ -0.46%YOY และ -0.68%YOY ตามลำดับ อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาวะเงินเฟ้อติดลบอาจเป็นเรื่องชั่วคราว หลัง รัฐบาลเข้ามาแทรกแซงลดค่าครองชีพ ซึ่งอาจเป็นแรงส่งให้ กนง. ปิดประตูดอกเบี้ยขา ขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ (วันที่ 29 พ.ย.) ทั้งนี้หากไม่มีการขยายระยะเวลา มาตรการช่วยเหลือที่จะสิ้นสุดปลายปี เชื่อว่าเงินเฟ้อไทยจะเข้าสู่ภาวะปกติ อีกทั้งปี หน้ายังมีความหวังจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ อาทิ DIGITAL WALLET, ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เป็นต้น
สรุป ตลาดหุ้นดูทรงๆ ในช่วงของการประเมินทิศทางดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อชะลอตัวลง ต่อเนื่อง อีกทั้งยังต้องติดตามความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์อย่างใหล้ชิด ขณะที่เงินเฟ้อ บ้านเราล่าสุดพลิกเป็นติดลบครั้งแรกในรอบ 25 เดือน และมีแนวโน้มลดลงอีกในปีนี้ จากแรงกดดันมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐเป็นหลัก ซึ่งอาจเป็นแรงส่งให้ กนง. ปิดประตูดอกเบี้ยขาขึ้นในการประชุมครั้งสุดท้ายของปีนี้ (วันที่ 29 พ.ย.)
VALUATION ตลาดหุ้นไทยเริ่มนิ่ง เหมาะสำหรับนักลงทุนระยะ กลาง-ยาว
วานนี้มีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ(รายละเอียดตามหัวข้อด้านบน) เดือน ต.ค.66 ซึ่ง ออกมาต่ำกว่าตลาดคาด และต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า โดยอยู่ที่ระดับ -0.31%YOY ซึ่ง การที่อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงแรง อาจเป็นแรงส่งให้ กนง. ปิดประตูดอกเบี้ยขาขึ้นในปีนี้ ที่ระดับ 2.50%ซึ่งส่งผลดีต่อ SET INDEX ให้มี MEYG ที่สูงกว่าประเทศอื่น ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.8% (สูงกว่าหลายๆ ประเทศ) ดึงดูดเม็ดเงินจากสินทรัพย์ปลอดภัย มากกว่าประเทศอื่นๆ ในเชิงเปรียบเทียบ
ขณะที่หากพิจารณา VALUATION ในเชิงอื่นๆ ถือว่ามีความน่าสนใจในหลายมุม อาทิ PER, PBV และ EPS GROWTH โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในมุมของ PER ระดับ SET INDEX ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1417.21จุด มี TRAILING PE อยู่ ที่ระดับ 19.7 เท่า แม้จะดูสูง แต่จริงๆ ถูกกดดันจากกำไรงวด 4Q65 ที่ต่ำผิดปกติเพียง 1.72 แสนล้านบาท (ปกติอยู่ระดับ 2.5 แสนล้านบาท) อย่างไรก็ตามถ้าดู FORWARD P/E23F จะเหลือเพียง 15.9 เท่า อิง EPS23F ที่ 88.6 บาท/หุ้น และถ้าเป็น P/E24F จะ เหลือเพียง 14.2 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย FORWARD P/E ในรอบ 10 ปี ที่ 18.8 เท่า
ในมุมของ PBV ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.40 เท่า ซึ่งเป็นจุดที่มี VALUATION ใกล้แนวรับ สำคัญทางพื้นฐาน คือ มี PBV ที่ 1.37 เท่า ซึ่งต่ำอยู่ที่ระดับ -2SD ในรอบ 5 ปี พอด
ในมุมของ EPS GROWTH24F ซึ่งหากพิจารณาเทียบกับประเทศอื่นๆ ตลาดหุ้นไทยมี อัตราเติบโตที่โดดเด่นอยู่ที่ 12.6%YOY ซึ่งสูงกว่า EPS GROWTH24F ของหลาย ประเทศซึ่งส่วนใหญ่เป็นประเทศฝั่งพัฒนาแล้ว อาทิ S&P500, HONG KONG, GERMANY, UNITED KINGDOM, FRANCE, JAPAN เป็นต้น
อีกทั้งกำไรงวด 3Q66 ของบริษัทจดทะเบียน มีโอกาสเพิ่มขึ้นทั้ง QOQ และ YOY โดย อ้างอิงจาก BLOOMBERG CONSENSUS ที่คาดการณ์ไว้ 161 บริษัท(MARKET CAP 83%) มีกำไร 2.5 แสนล้านบาท +32.5%QOQ / +36.1%YOY ซึ่งอาจเป็นอีก หนึ่งประเด็นที่ช่วยผลักดัน SET INDEX ปรับตัวขึ้นต่อได้
สรุป ตลาดหุ้นไทยในเชิงของ VALUATION ยังน่าสนใจทั้งมุมของ PER, PBV, EPS GROWTH และ MARKET EARNING YIELD GAP ซึ่งเป็นส่วนที่สามารถจำกัด DOWNSIDE และสร้างเสน่ห์ให้กับ SET INDEX ได้ระดับหนึ่ง ขณะที่ในเชิงพื้นฐาน คาดการณ์กำไร 3Q66 ยังเติบโตทั้ง QOQ และ YOY จึงทำให้สามารถเก็บสะสมเพื่อหวัง ผลกำไรในระยะกลาง-ยาวได้ โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวของ SET INDEX อยู่ ในช่วง 1412-1430 จุด
ส่วน TOPPICKS วันนี้เลือกหุ้น WHA CRC TU เป็น TOPPICKS
ค่าเงินเอเชียเริ่มนิ่ง อาจหนุน FUND FLOW ทยอยไหลเข้าตลาด หุ้นเอเชียเด่นชัดขึ้น
เริ่มต้นเดือน พ.ย. BOND YIELD 10 ปี สหรัฐ ปรับตัวลงมากว่า 30 BPS. (MTD) กดดันให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า และค่าเงินในเอเชียพลิกกลับมาแข็งค่าทั้งหมด อาทิ วอนเกาหลีใต้แข็งค่า +4.1%(MTD), รูเปียอินโดนีเซียแข็งค่า +2.23%(MTD), บาท ไทยแข็งค่า +1.35%(MTD)
ค่าเงินเอเชียที่เริ่มนิ่งขึ้น หนุนให้ FUND FLOW มีโอกาสไหลเข้ามามาในสินทรัพย์เสี่ยง ถือว่าดีกับตลาดหุ้นเอเชีย ที่เริ่มปรับตัวขึ้นมาได้ดีในเดือนนี้ นำโดย ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ +9.8%(MTD), ญี่ปุ่น +6.0%(MTD), เวียดนาม +6.0%(MTD), ฮ่องกง +5.0%(MTD), และ ไทย +2.6%(MTD) เป็นต้น
เป็นที่สังเกตตลาดหุ้นเกาหลีใต้ขึ้นได้โดดเด่นมากในวานนี้กว่า 5.66% พร้อมกับมี FUND FLOW ไหลเข้าสูงถึง 917 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 3.2 หมื่นล้านบาท (สูงสุด ในรอบ 2 ปี 2 เดือน) หลัง FSC ห้ามนักลงทุน SHORT ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ 8 เดือน (ถึง มิ.ย. 67)
กลับมาที่ตลาดหุ้นไทยปีนี้ลงมาลึกกว่า -15.1%YTD ค่าเงินบาทเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้น กำไรงวด 3Q66 ดูมีแนวโน้มเติบโตเด่น น่าจะทยอยฟื้นตัว
นอกจากนี้ในสื่อโซเชียลพูดถึงกระแสห้าม SHORT SALES และในมุมฝ่ายวิจัยฯ ถ้า ตลาดฯ กลับมาใช้ กฏ UPTICK RULE (ห้าม SHORT ที่ฝั่ง BID และ SHORT ที่ฝั่ง OFFER ได้) น่าจะช่วยให้นักลงทุนลดความกลัวจากความผันผวนของตลาดได้ สังเกต ได้จากตอนออกกฏนี้ในช่วงโควิดตลาดหุ้นไทยก็พลิกฟื้นขึ้นมาได้เด่นจาก 969.08 จุด ขึ้นมาเหนือ 1100 จุดในช่วงเวลาสั้นๆ ได้เช่นกัน
สรุปหลากหลายแง่มุมที่เริ่มนิ่ง ทั้งอัตราดอกเบี้ยเริ่มนิ่ง, ค่าเงินเริ่มนิ่ง และ VALUATION เริ่มนิ่ง สนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ในแนวโน้มฟื้นตัวในเดือน พ.ย.66
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities