ปรากฎสัญญาณบวกชัดเจนมากขั้นในส่วนของทิศทางอัตราดอกเบี้ย หลังจากที่ BOND YIELD ในสหรัฐปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตัวเลขตลาดแรงงงานตึงตัวโดย อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ทำให้FED WTCH TOOL แสดงโอกาสที่ FED จะคงดอกเบี้ย ไปถึงกลางปีหน้า ทำให้USD อ่อนค่า ซึ่งจะเป็นบวกต่อเงินบาทและFUND FLOW ที่อาจกลับเข้ามาบ้านเรา ในอีกทางหนึ่งสงครามอิสราเอล-ฮามาส แม้จะรุนแรงขึ้น แต่สัญญาณในการขยายวงไม่ชัดเจนซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ผ่อนคลาย ภาวะ ดังกล่าวเมื่อไปรวมกับ VALUATION ที่ต่ำของตลาดหุ้นบ้านเราที่ได้อธิบายไว้ใน รายงาน MARKET TALK เมื่อวันศุกร์ (3 พ.ย.) ทำให้เชื่อว่ามีโอกาสที่ SET INDEX จะฟื้นตัวกลับขึ้นไปได้ต่อ ส่วนประเด็นที่ต้องติดตามในบ้านเรา เป็นเรื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งอาจประกาศเพิ่มเติมช่วงเดือน ธ.ค.66
แม้จะปรับขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว แต่เราเชื่อว่า SET INDEX ยังน่าจะมีแรงเหวี่ยงขึ้นไป ได้ต่อ กำหนดแนวต้านที่บริเวณ 1425 –1430 จุด ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1410 จุด หุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BH, CR และ WHA
ตลาดหุ้นยังน่าไปต่อ หลังหลายปัจจัยสนุนสนุนไปในทิศทางนั้น
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทุกดัชนีราว 0.9%-2.7% ทำให้ ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นเดือนปรับตัวขึ้น 3.9%-5.9% ซึ่งปัจจัยทำให้เป็นแบบนั้น คือ ตัวเลขเศรษฐกิจวันศุกร์ที่ผ่านมา ทั้งตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (NONFARM-PAYROLL) เพิ่มขึ้น 150,000 ตำแหน่งในเดือนต.ค.66 ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี หรือนับตั้งแต่ ม.ค.64 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 188,000 ตำแหน่ง ส่งผลให้อัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.9% ซึ่งสูงกว่าที่ นักวิเคราะห์คาดที่ระดับ 3.8%
ด้วยตัวเลขเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ทำให้ตลาดมองว่าโอกาสการขึ้นดอกเบี้ยต่อ ของ FED แทบจะไม่เหลือแล้ว สังเกตได้จาก FED WATCH TOOL ที่โอกาสที่ดอกเบี้ยจะ อยู่ระดับ 5.75% มีเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นในการประชุมช่วง ธ.ค.66-มี.ค.67 หลังจาก นั้นเริ่มเห็นการทยอยปรับตัวลงของดอกเบี้ยสหรัฐฯ โดย ณ สิ้น ธ.ค.67 ตลาดคาด อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.50%
อีก 1 ประเด็นที่ตอกย้ำว่าการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคตจบแล้ว คือ BOND YIELD 10 ปีสหรัฐฯยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 รวมแล้วกว่า 35 BPS.( มากกว่าการลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง) อยู่ที่ระดับ 4.57%ซึ่งยิ่งเป็นแรงหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้า สินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้นให้ OUTPERFORM ต่อไปอีกสักระยะ
สรุป ปัจจัยต่างๆล้วนสนับสนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอย่างตลาดหุ้น ทั้งการ ขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในอนาคตจบแล้ว และ BOND YIELD สหรัฐฯปรับตัวลงแรง ทำให้ DOLLAR INDEX มีโอกาสอ่อนค่า และหนุนค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นกัน ซึ่งอาจเป็นปัจจัย หนุนให้ FLOW ต่างชาติทยอยไหลกลับเข้า SET INDEX ได้
แนวโน้มเงินเฟ้อไทยต่ำ อาจหนุนรัฐอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ชุดใหญ่กว่าเดิม
เช้านี้เวลา 10.30 น. รอกติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อไทยเดือน ต.ค. โดย CONSENSUS คาด HEADLINE CPI +0.1%YOY ชะลอตัวลงจากเดือน ก.ย. ที่ +0.3%YOY ขณะที่ CORE CPI คาด +0.6%YOY ย่อตัวจากเดือนก่อนที่ 0.63YOY ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ
ภาพของเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เชื่อว่าจะมาจากราคาน้ำมันที่หดตัว โดยราคาน้ำมันดิบ WTI ในเดือน ต.ค. 66 ไม่ไดขยายตัวมากเมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงภายในเดือนยังย่อตัวลงราว -10.8% บวกกับเป็นช่วงที่รัฐบาลช่วยลดภาระค่า ครองชีพของประชาชน ทั้งค่าน้ำมันและค่าไฟ
เงินเฟ้อไทยในปัจจุบันที่ +0.3%YOY อยู่ในระดับใกล้เคียงกับจีนที่ 0.0%YOY และยัง เป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับหลายประเทศทั่วโลก ประกับ กนง. มีการเร่งขึ้น ดอกเบี้ยมาอยู่ที่ 2.5% ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (ดอกเบี้ย – เงินเฟ้อ) ของบ้าน เราบวกขึ้นมาค่อนข้างสูง
ในอีกแง่มุมหนึ่งของแนวโน้มเงินเฟ้อไทยที่อนู่ในระดับต่ำ อาจหนุนให้ภาครัฐสามารถ อัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่มากขึ้น ขณะที่ล่าสุดมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวเพิ่มเติม โดยนายกฯ ได้เคาะแผนเปิดสถานบริการถึงตี 4 ชั่วคราวใน 4 จังหวัดนำร่อง (กทม., ชลบุรี, เชียงใหม่, ภูเก็ต) เริ่ม 15 ธ.ค. ขณะที่ในระยะถัดไปยังมี นโยบาย DIGITAL WALLET ซึ่งรอรายละเอียดความชัดเจนในวันศุกร์นี้ (10 พ.ย.) อีกทั้ง นายกฯ ยังได้มีการหารือร่วมกับคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัทเซ็นทรัล ยิ่งต้องจับตามอง โครงการใหญ่ที่เตรียมผุดกลางเดือน ธ.ค. โดยมุ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองรองเป็นหลัก
สรุป เงินเฟ้อไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามราคาพลังงาน รวมถึงเป็นช่วงที่ ภาครัฐช่วงลดค่าครองชีพโดยการลดค่าน้ำและค่าไฟ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ อาจหนุนให้ภาครัฐสามารถอัดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ได้มากขึ้น และน่าจะ เป็นกระแสบวกต่อตลาดหุ้น เฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก อาทิ ERW, AOT (BK:AOT), CPALL (BK:CPALL), CRC, COM7
หุ้นไทยลงมามาก แต่ยังขึ้นน้อย
วันศุกร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยขึ้นต่อ 15.77 จุด หรือ 1.12% และน่าจะมี MOMENTUM ขึ้นต่อ จากค่าเงินดอลลาร์ที่พลิกมาอ่อนค่าแรงกว่า 1% ในคืนวัน ศุกร์ พร้อมกับทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบ 1 เดือนครึ่ง คาดช่วยหนุนให้เม็ดเงินมีการหมุน เข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง รวมถึงตลาดหุ้นไทยที่ลงมามาก แต่ยังขึ้นน้อย น่าจะมี ช่องว่างให้ปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
▪ ในช่วง 2 เดือนที่แล้ว หุ้นไทยลงแรงกว่าประเทศอื่นๆ แต่เดือนนี้ (MTD) ยังฟื้น ได้ช้ากว่าประเทศอื่นๆ อยู่ โดยช่วง 2 เดือนที่แล้ว หุ้นไทย -11.8% ลงลึกกว่า สหรัฐ -8.4% แต่เดือนนี้(MTD) หุ้นไทยขึ้นมาแค่ 2.7% แต่สหรัฐขึ้นมาแลัว 4.9% เช่นเดียวกับเวียดนามที่บวก 4.7%
▪ ผลตอบแทนปีนี้ (YTD) ตลาดหุ้นไทย LAGGARD กว่าตลาดหุ้นอื่นๆ มาก โดยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาแล้ว -14.9%(YTD) LAGGARD กว่าตลาด หุ้นโลก (MSCI ACWI) ที่ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 9.5% หรือทิ้งห่างตลาดหุ้น ไทยมาแล้วกว่า 24.4%
สรุปตลาดหุ้นไทยที่ลงมามาก แต่ยังขึ้นน้อย มีแรงหนุนจาก FUND FLOW ที่มีโอกาส ไหลกลับจากค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่า พร้อมกับเงินเฟ้อต่ำ กระตุ้นเศรษฐกิจ รัฐบาลยังมีต่อ และไตรมาสที่ 4 มักจะเป็นไตรมาสที่เศรษฐกิจคึกคักสุด ทุกๆ ปัจจัย ล้วนหนุนให้ SET INDEX มีโอกาสขยับขึ้นต่อ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities