รับส่วนลด 40%
ใหม่! 💥 รับ ProPicks เพื่อดูกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทน ชนะดัชนี S&P 500 มากกว่า 1,183% รับส่วนลด 40%

ดูสัญญาณเงินเฟ้อ ไม่แรงพอที่จะขยับดอกเบี้ย 

เผยแพร่ 18/09/2566 10:11

ภาวะเอลนีโญที่มีผลต่อราคาสินค้าเกษตร ทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นจากแรง ผลักของฝั่ง Supply และ สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่อาจเป็นตัวเร่ง Demandของสินค้า-บริการ ทั้ง 3 ปัจจัยถูกมองว่าเป็นสัญญาณเตือนว่าเงินเฟ้อ อาจกลับมาสร้างแรงกดดัน แต่อย่างไรก็ตามเรายังเห็นว่า สัญญาณดังกล่าว ข้างต้น ยังไม่มีน้ำหนักที่แรงมากพอที่จะเปลี่ยนทิศทางดอกเบี้ยให้กลับไปอยู่ในขา ขึ้นใหม่ เฉพาะอย่างยิ่งในบ้านเรา ซึ่งภาครัฐระดมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เชิงรุก จึงไม่น่าจะเห็นการเดินนโยบายการเงินที่สวนทาง ทั้งนี้แนวนโยบายของ รัฐบาล นอกจากการกระตุ้นการบริโภคภาคครัวเรือน ผ่านการลดภาระค่าใช้จ่าย และเพิ่มเงินในกระเป๋าของประชาชนแล้ว ยังเน้นไปที่การสร้างรายได้จากภาคการ ท่องเที่ยว ซึ่งมีการดำเนินการผ่านหลายมาตรการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่ม จำนวนนักท่องเที่ยวสู่ระดับ 40 ล้านคนในปี 2567

เชื่อว่า SET Index ยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว แม้จะเป็นการปรับขึ้นอย่างช้าๆ สลับกับการขายทำกำไร วันนี้ประเมินกรอบที่ 1537 – 1550 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, III และ SCGP

เงินเฟ้อมีโอกาสกลับมา...แต่ไม่น่าแรงพอให้ดอกเบี้ยเปลี่ยนทิศ

ภาพของการดีดตัวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นอีกหนึ่งความเสี่ยงที่อาจทำให้ ปัญหาเงินเฟ้อกลับมาอีกครั้งในระยะข้างหน้า โดยมีแรงกดดันที่มาจากทั้งฝั่ง Supply และ Demand รายละเอียดดังนี้

Cost Push Inflation(เงินเฟ้อฝั่ง Supply)

• ความกังวลปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจทวีรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ล่าสุด อินเดียเตรียมรับมือโดยการประกาศห้ามส่งออกน้ำตาลตั้งแต่เดือน ต.ค. เป็นต้นไป กดดันราคาน้ำตาลปรับตัวขึ้นสูงกว่า 6.8%Mtd และ 51.7%Ytd

• คลังน้ำมันเชื้อเพลิงมีแนวโน้มลดลง หลังซาอุฯ และรัสเซียประกาศขยายเวลา ลดกำลังการผลิตไปจนถึงสิ้นปีนี้ กดดันราค้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นราว 8.5%Mtd และ 13.1%Ytd

Demand Pull Inflation (เงินเฟ้อฝั่ง Demand) จากภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ที่มีสัญญาณดีขึ้น หลังรัฐบาลจีนกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง โดยล่าสุดมีรายงาน ตัวเลขเพิ่มเติมในเดือน ส.ค. อาทิ Industrial Production ออกมา +4.5%YoY สูง กว่าตลาดคาดและเดือนก่อนหน้าเช่นเดียวกับ Retail Sales ที่ออกมา +4.6%YoY สะท้อนการฟื้นตัวในภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริโภค นอกจากนี้ภาค การจ้างงานเริ่มดูดีขึ้น หลังการว่างงานปรับตัวลดลงเหลือ 5.2%

ความคาดหวังเศรษฐกิจจีนจะค่อยๆ ดีขึ้น อาจหนุนให้ธีม China Play กลับมาน่าสนใจ อีกครั้ง โดยฝ่ายวิจัยฯ ได้รวบรวมกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจจีน ฟื้นตัว รายละเอียดดังตารางด้านล่าง โดยมี 5 หุ้นเด่นที่น่าซื้อสะสมสุดในช่วงนี้ SCGP, IVL, PTTGC, III, ERW

ภาวะดังกล่าวอาจกดดันให้เงินเฟ้อมีโอกาสขยับขึ้น แต่เชื่อว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังไม่น่ารุนแรงมากพอที่จะทำให้ธนาคารกลางต่างๆ กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง ขณะที่สัปดาห์นี้มีธนาคารกลางหลายแห่งจะมีการจัดประชุมฯ ซึ่งต้องติดตามอ้าง ใกล้ชิด เฉพาะอย่างยิ่ง Fed ที่อาจเห็นการคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.5% รวมถึงจะมีรายงาน Dot Pot และ Projection ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญๆ

สรุป ปัญหาเงินเฟ้อมีความเสี่ยงขยับขึ้นในระยะข้างหน้า จากหลายปัจจัยที่เข้ามา กดดัน ทั้งจากฝั่ง Supply (เอลนีโญป่วนหนัก, กำลังการผลิตน้ำมันลดลง) และฝั้ง Demand (เศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณฟื้นตัว) อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในปัจจุบันยัง ไม่น่ารุนแรงมากพอที่จะทำให้ธนาคารกลางต่างๆ กลับมาเร่งขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

เดินหน้ากระตุ้นเที่ยวไทย บวกต่อ AOT (BK:AOT), ERW

ท่ามกลางกระแสข่าวการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวจากภาครัฐ ที่ถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ของ GDP ไทย เพิ่มเติมจาก วีซ่า – ฟรี ให้กับจีนและคาซัคสถาน (25 ก.ย. 66 – ก.พ. 67) ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเห็นแนวทางกระตุนต่อเนื่องทั้งการวางแผนให้ สนามบินเชียงใหม่รับเที่ยวบินหลังเที่ยงคืน ขณะที่ นสพ. กรุงเทพธุรกิจวันนี้ รายงาน ว่าทางภาคเอกชน ขอรัฐบาลให้ วีซ่า – ฟรี เพิ่มเติมกับ อินเดีย (สัดส่วนราว 5% ของ นักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง 7M66 บวก 163% YoY) และ ไต้หวัน (สัดส่วนราว 3% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย)

โดยรวมสอดคล้องกับมุมมองฝ่ายวิจัยที่คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย รายไตร มาสไต่ระดับ QoQ ตั้งแต่ 3Q66 –1Q67 หลังผ่าน Low season ในงวด 2Q นอกจาก มาตรการกระตุ้นภาคท่องเที่ยวข้างต้น ยังมีปัจจัยเสริมจาก Golden week ช่วง ต.ค. 66 และตรุษจีน ในช่วง ก.พ. 67 รวมทั้งการกลับมาของนักท่องเที่ยวยุโรปหลังเข้าสู่ High season ของท่องเที่ยวไทย

นี่คือโฆษณาของบุคคลที่สาม ไม่ใช่ข้อเสนอหรือคำแนะนำจาก Investing.com ดูการเปิดเผยข้อมูลที่นี่หรือ หรือลบโฆษณา

ภาพดังกล่าวประเมินผลักดันกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของหุ้นที่มีสัดส่วน รายได้ในไทยสูง เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทย เรียงดังนี้ AOT ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย > ERW สัดส่วนราว 90% มาจากโรงแรมไทย > CENTEL สัดส่วน 82% ของรายได้โรงแรมงวด 1H66 อยู่ในไทย (รายได้ร้านอาหาร : โรงแรม ที่ 58% : 42%) ส่วน MINT สัดส่วนรายได้ราว 50% มาจากโรงแรมใน EU ทำ ให้ทิศทางกำไรปกติแตกต่างจากกลุ่มฯ เนื่องจาก 3Q ชะลอตัวตามฤดูกาลท่องเที่ยว ใน EU ก่อนจะดีขึ้นในช่วง 4Q

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เน้นไปที่หุ้นที่มีฐานรายได้ในไทยเป็นหลัก อย่าง AOT(FV ปี 2567 Outperform @B85) รับประโยชน์โดยตรงจากมาตรการ กระตุ้นนักท่องเที่ยว สามารถ catch up ตามหุ้นท่องเที่ยวไทยอื่นๆ ได้ ส่วนกลุ่ม โรงแรมยังคงชอบ ERW(Outperform : FV@B6.00) ที่มีรายได้จากโรงแรมไทยมาก สุดในกลุ่มฯ มากกว่า CENTEL(Neutral : FV@B54.00) ที่มีสัดส่วนโรงแรมในมัล ดีฟส์ซึ่งยังดูฟื้นตัวช้า ในขณะที่ MINT(Outperform : FV@B38) ราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมา Underperformed กลุ่มฯ สะท้อนการรับประโยชน์จากการกระตุ้นท่องเที่ยวไทย น้อยสุดในกลุ่มฯ พอสมควรแล้ว ขณะที่กำไรปกติรายปีมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง

นายกฯ ยืนยันไม่เก็บภาษีหุ้นไทย หนุนสภาพคล่องห้นไทยดีขึ้น

ตลาดหุ้นไทยถูกต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยปีนี้ 1.47 แสนล้านบาท (ytd) หลังจากปี 2022 ที่ซื้อสุทธิสูงถึง 2.02 แสนล้านบาท

และนักลงทุนต่างชาติส่วนหนึ่งใช้ระบบ Algo Trade ในการซื้อขายหุ้นไทยเป็นหลัก ซึ่ง ล่าสุดเดือน ก.ค. มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยทั้งหมดมาจากระบบ Algo Trade ถึง 35% ถ้า หากไม่มีการเก็บภาษีหุ้นในช่วง 4 ปีต่อจากนี้ ตามที่นายกเศรษฐากล่าว น่าจะหนุนให้ Fund Flow ทยอยไหลเข้าในช่วงถัดไป รวมถึงมูลค่าซื้อขายหรือสภาพคล่องตลาดหุ้น ไทยเพิ่มขึ้นได้

หากมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้น ตามกลไกจะช่วงหนุนให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน MEYG ที่แคบ ลง หรือซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้นด้วย โดยฝ่ายวิจัยประเมินทุก มูลค่าซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ทุกๆ 1 หมื่นล้านบาท/วัน หนุนดัชนีเป้าหมายของ SET ขยับขึ้นได้ราว 60 จุด

สรุปตลาดหุ้นไทยมีโอกาสคึกคักขึ้นได้ จากการไม่ต้องระวังการเรียกเก็บภาษีหุ้นไทย ใน 4 ปีต่อจากนี้ และยังคาดหวัง Fund Flow ในการไหลกลับเข้าในระยะถัดไป จาก อนาคตที่มีแนวโน้มในการใช้ระบบเทรดมากขึ้น

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย