การที่ SET Index ดีดตัวกลับขึ้นมายืบบริเวณ 1545 จุดได้ พร้อมแรงซื้อสุทธิ และ การเปิด long Future ของนักลงทุนต่างชาติ ถือเป็นสัญญาณเชิงบวก และมี โอกาสที่จะเห็น Momentum เหวี่ยงขึ้นต่อของ SET Index สำหรับปัจจัยแวดล้อม เชิงพื้นฐาน ประเด็นขับเคลื่อนหลักยังมาจากความคาดหวังเชิงบวกจาก แนวนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล บวกกับ ทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มน้ำมัน โรงกลั่น และ ปิโตรเคมี นอกจากนี้ยังมีความ คาดหวังเชิงบวกจากการที่เศรษฐกิจจีน ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ แต่อย่างไรก็ ตาม มีสัญญาณที่ต้องจับตาด้วยความระมัดระวัง คือ Bond Yield ที่ดีดตัวสูงขึ้น โดยล่าสุด Bond Yield อายุ 10 ปี ปรับขึ้นไปใกล้ 3% ส่วน 1 ปี ปรับขึ้นไปสูวกว่า ดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งหากว่ายังทรงระดับสูง อาจกดดัน Valuaionของ SET Index
คาดว่า SET Index น่าจะเคลื่อนไหวผันผวนในทิศทางปรับขึ้น ประเมินกรอบช่วง 1542 –1558 จุด โดยที่จะมีแนวต้านที่แข็งแกร่งระดับถัดไปบริเวณ 1570 –1580 จุด หุ้น Top Pickวันนี้เลือก CPALL (BK:CPALL), III และTOP
ถึงเวลาสินทรัพย์เสี่ยงเข้าสู่โหมด Risk-on
วานนี้ตลาดหุ้นโลกเข้าสู่โหมด Risk-on อีกครั้ง โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปิดตัวเพิ่มขี้นราว 0.8% - 1.4% ขณะที่ฝั่งยุโรปดีดตัวขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 1% หลังมีปัจจัยบวกเข้ามาใน หลายปเทศ โดยเริ่มจาก
สหรัฐฯ ในปัจจุบันตลาดอยู่บนความคาดหวังว่า Fed จะหยุดขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ขณะที่ ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ล่าสุดยังมีทิศทางค่อนข้างแข็งแกร่ง
• เงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (ดัชนี PPI) เดือน ส.ค. +0.7%MoM สูงกว่าตลาดคาดที่ +0.4%MoM หลักๆ มาจากราคาพลังงานและค่าขนส่ง
• ยอดค่าปลีก (Retail Sales) เดือน ส.ค. +0.6%MoM สูงกว่าตลาดคาดที่ +0.6%MoM สะท้อนการบริโภคพลังงานที่เพิ่มขึ้น
• จำนวนผู้ขอสวัสดิการว่างงานล่าสุดอยู่ที่ 220,000 ราย ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 225,000 ราย และปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนเพียงเล็กน้อยที่ 217,000 ราย บ่งชี้ภาคแรงงานสหรัฐฯ ยังดูไม่ได้แย่มาก
ยุโรป ECB มีมุมมองว่าเศรษฐกิจยุโรปในปัจุบันยังร้อนแรง โดยเงินเฟ้อในเดือน ส.ค. อยู่ที่ 5.3%YoY ทำให้การประชุมนโยบายการเงินคืนวานนี้ECB เซอร์ไพรส์ตลาดขึ้น ดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 4.5% โดยเป็นการปรับขึ้น 10 ครั้งติดต่อกัน
จีน PBOC ประกาศปรับลด RRR อีก 0.25% เป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ (ครั้งแรกปรับลด 0.25% ในเดือนมี.ค.) เพื่อเพิ่มความสามารถในการปล่อยกู้ของธนาคารต่างๆ และ เอื้อต่อการออกพันธบัตรท้องถิ่น ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นเร่งออก “Special Bond” เพื่อ นำไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนถึง Deadline ในเดือน ก.ย.
ไทย ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนส.ค.66 อยู่ที่ระดับ 56.9 ซึ่ง เป็นการปรับตัวดีขึ้นครั้งแรกในรอบ 14 เดือน หลังไทยได้นายกฯ ใหม่ บวกกับภาค การท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี
สรุป ปัจจัยแวดล้อมเต็มไปด้วยสัญญาณบวก ตั้งแต่ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ-ยุโรป ยังสามารถขยายตัวได้ ขณะที่ในโซนเอเชีอย่างจีน PBOC ประกาศปรับลด RRR เพื่อ เพิ่มสภาพคล่องในการปล่อยสินเชื่อ ส่วนบ้านเราเริ่มเห็นภาพความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภคที่มากขึ้น หลังได้นายกฯ ใหม่ บวกกับภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี
ทิศทางขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบโลก ดีต่อหุ้นไหน?
ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น รับแรงหนุนจากความกังวลด้าน อุปทานน้ำมันตึงตัว หลังจากกลุ่ม OPEC+ ประกาศปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มฯ ลง 2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2566 รวมถึงการประกาศขยายเวลา การปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดิอาระเบียโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้าน บาร์เรลต่อวัน ไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่เดือน ก.ค. ซึ่งล่าสุดได้ขยายเวลาปรับลดกำลังการ ผลิตน้ำมันโดยสมัครใจออกไปจนถึงสิ้นปี 2566 เช่นกัน ทำให้ซาอุดิอาระเบียจะผลิต น้ำมันที่ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน อีกทั้งในส่วนของรัสเซียเองก็ประกาศว่าจะลดการ ส่งออกน้ำมัน 3 แสนบาร์เรลต่อวัน ไปถึงสิ้นปี 2566 ด้วย ซึ่งจากประเด็นต่างๆที่กล่าว ข้างต้นสะท้อนให้เห็นมุมมองการควบคุมระดับราคาโดยผู้ผลิตรายใหญ่ของโลกให้อยู่ ในระดับที่พึงพอใจราว 85-95 เหรียญฯต่อบาร์เรล (กำลังการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม โอเปกพลัสคิดเป็นประมาณ 40% ของกำลังการผลิตน้ำมันดิบทั่วโลก)
ประกอบกับช่วงสั้นๆยังมีแรงหนุนจากความคาดหวังว่าความต้องการการใช้น้ำมันจะ ฟื้นตัว หลังมีรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนที่ค่อยๆดีขึ้น รวมถึงความคาดหวัง เศรษฐกิจโดยรวมของโลกจะฟื้นตัว อีกทั้งล่าสุดกลุ่มโอเปกคาดการณ์อุปสงค์น้ำมัน ในตลาดโลกปี 2566 จะเพิ่มขึ้น 2.44 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 102.06 ล้านบาร์เรล ต่อวัน และในปี 2567 คาดอุปสงค์น้ำมันจะเพิ่มขึ้น 2.25 ล้านบาร์เรลต่อวัน มาอยู่ที่ 104.31 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ดังนั้นทุกประเด็นก็ล้วนเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาน้ำมันให้ยังอยู่ในกรอบสูง ซึ่งถือเป็น ผลบวกโดยตรงต่อกลุ่มผู้ผลิตและสำรวจปิโตรเลียมหลักที่มีรายได้แปรผันตามราคา ปิโตรเลียม ซึ่งได้แก่ PTTEP รวมถึงกลุ่มโรงกลั่นที่การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยปกติแล้วจะส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวขึ้นตาม ประกอบกับสถานการณ์ ปัจจุบัน supply น้ำมันสำเร็จรูปที่ออกจากโรงกลั่นค่อนข้างตึงตัว อีกทั้ง ผู้ประกอบการต่างมี inventory ที่ต่ำ จึงส่งผลให้ค่าการกลั่นในปัจจุบันปรับตัวขึ้นมา อยู่ในระดับสูง 10-14 เหรียญฯต่อบาร์เรล ซึ่งภาพรวมค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูงก็ เป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้นทุกตัวที่อยู่ในกลุ่มโรงกลั่นทั้ง TOP, SPRC, BCP, ESSO, PTTGC, IRPC ซึ่งฝ่ายวิจัยเลือก TOP เป็น Top pick ของกลุ่มโรงกลั่น
หาหุ้นไทยน่าสะสม...ในช่วงรอการประชุมธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลก
ช่วงนี้ถึงสิ้นเดือน เป็นช่วงของการประชุมธนาคารกลางทั่วโลก (ประชุม Fed วันที่ 20 ก.ย. 66, ประชุมกนง. วันที่ 27 ก.ย. 66) ทำให้อาจเห็นแรงขายตราสารหนี้ทั่วโลก ออกมาบ้าง
ส่งผลให้ Bond Yield มีการขยับขึ้น อาทิ Bond Yield 10 ปี สหรัฐเพิ่มขึ้น 19 bps. (MTD) จาก 4.10% เป็น 4.29% เช่นเดียวกับ Bond Yield 10 ปี ของไทยเพิ่มขึ้น 20 bps. (MTD) จาก 2.77% เป็น 2.97% รวมถึง Bond Yield 1 ปี ของไทยที่เพิ่มขึ้นมา ล่าสุดอยู่ที่ 2.32% สูงกว่าดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ปัจจัยดังกล่าว อาจจูงใจให้นักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดตราสารหนี้มากขึ้น และตาม กลไกจะกดดันให้ Market Earning Yield Gap (MEYG) ของตลาดหุ้นไทยแคบลง หรือ ตลาดหุ้นไทยจะถูกซื้อขายบน P/E ที่ต่ำลงได้ซึ่งถ้า Bond Yield ในระยะถัดไป ยังเร่ง ตัวสูงขึ้นกว่านี้มีโอกาสในการกดดันดัชนีเป้าหมายให้ลดลงได้ โดย Bond Yield 1 ปี ที่ สูงกว่าดอกเบี้ย นโยบาย 25 bps. กดดันเป้าหมาย SET Index ให้ลดลงราว 64 จุด ทำให้นักลงทุนต้องติดตามตัวเลข Bond Yield อย่างใกล้ชิดในช่วงนี้
อย่างไรก็ตามในระยะสั้น ยังมีปัจจัยแวดล้อมรอบด้าน ที่ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยดังนี้
1. การกระตุ้นเศรษฐกิจจีนต่อเนื่อง และล่าสุด PBOC ลด RRR ลงครั้งที่ 2 ของ ปี อีก 0.25% สู่ 7.4% ซึ่งจีนเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยมีสัดส่วนการค้าใน 7 เดือนแรกปี 2566 อยู่ที่ 18% มากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ประเด็น ดังกล่าวถือว่าดีต่อหุ้นที่มีสัดส่วนรายได้ในจีน อย่าง SCGP, PTTGC, IVL
2. ราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 94 เหรียญ สูงสุดรอบ 10 เดือน และ บวกแรง 25.6%QTD ขณะที่หุ้นพลังงานไทยหลายบริษัทยัง Laggard อยู่ มาก แนะนำ PTTEP, TOP, SPRC
3. การเดินหน้าของนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมกับตัวเลขความเชื่อมั่น ผู้บริโภคไทย (CCI) เดือน ส.ค. ออกมา 56.9 สูงสุดในรอบ 14 เดือน แนะนำ CPALL, CRC, CPAXT, BEM, ADVANC, TRUE, AOT (BK:AOT), ERW
ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าหุ้นเด่นทั้ง 3 ธีมมีโอกาส Outperform ตลาดได้ดีในช่วงนี้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities