ประเด็นความเสี่ยงทางการเมืองที่ลดลงไปตามลำดับ เป็นปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside ของ SET Index โดยเราประเมินว่าจะสามารถยืนเหนือบริเวณ 1530 – 1540 จุดได้ ส่วน Upside จะค่อยๆ เปิดออกตามพัฒนาการของเหตุการณ์ ทั้งนี้เราคาดว่าในการประชุม ครม.นัดแรก 12 ก.ย.66 น่าจะมีมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจออกมา ไม่ว่าจะเป็นการลดราคาน้ำมันดีเซล การลดค่า FT และการ กระตุ้นภาคการท่องเที่ยว หากมีความชัดเจนว่า แนวทางการลดราคาน้ำมัน และ ไฟฟ้า จะไม่กระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียน ก็มี โอกาสที่จะทำให้SET Index กลับไปยืนบริเวณ 1570 จุดได้ ส่วนประเด็นแวดล้อม อื่นเป็นข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจ เริ่มจากเงินเฟ้อในบ้านเราเดือน ส.ค. พบว่าสูงกว่า คาดมาอยู่ที่ 0.88% YoY แต่ก็ยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย ขณะที่ ธปท. ก็ส่ง สัญญาณชัดขึ้นว่ามีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25%
ประเมินว่า SET Index น่าจะผันผวนอยู่ในกรอบ 1540 – 1555 จุด โดยหลังการ ประชุม ครม. นัดแรก ทิศทางจะชัดเจนมากขึ้น กลยุทธ์การลงทุนยังเป็นการทยอย สะสมหุ้นเมื่อราคาย่อตัว หุ้น Top Pick เลือก ADVANC, CPF และ PTTEP
ตัวเลขเศรษฐกิจจีน + ยุโรป อ่อนแอ หนุนเม็ดเงินไหลเข้า สินทรัพย์ปลอดภัย
วานนี้มีการประกาศตัวเลข PMI 3 ประเทศ ซึ่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าและต่ำกว่าคาด ทั้งสิ้น โดยมีรายละเอียด ดังนี้
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของยู โรโซน ร่วงลงสู่ระดับ 46.7 จุดในเดือนส.ค.66 (ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า และ ตลาดคาด) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2563 โดยเป็นการหดตัว ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการขั้นสุดท้ายของ เยอรมนี ร่วงลงสู่ระดับ 44.6 จุดในเดือนส.ค.66(ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า และ ตลาดคาด)
• ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของจีน ร่วงลงสู่ระดับ 51.8จุด ใน เดือนส.ค.66(ต่ำกว่าเดือนก่อนหน้า และตลาดคาด) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน
ภาวะดังกล่าว บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจจีน + ยุโรป มีความอ่อนแอสูง ขณะที่มาตรการกระตุ้น เศรษฐกิจของรัฐบาลอาจจะยังไม่สามารถผลักดันการบริโภคในประเทศได้อย่างเต็มที่
โดยข้อมูลจากทาง Bloomberg คาดการณ์ว่า จีนอาจไม่สามารถแซงหน้าสหรัฐขึ้นเป็น ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 1 ของโลกได้ในเร็ว ๆ นี้ โดยคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะเติบโตลดลงสู่ระดับ 3.5% ในปี 2573 และคาดว่าจะลดลงเรื่อยๆ แตะ ระดับ 1% ในปี 2593 ซึ่งตัวเลขดังกล่าวลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 4.3% และ 1.6% ตามลำดับ
ด้วยประเด็นดังกล่าว ทำให้นักลงทุนกังวล และโยกย้ายเม็ดเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัย มากขึ้น สะท้อนจากวานนี้ Dollar Index ที่แข็งค่าขึ้น 0.5% สู่ระดับ 104.81 จุด และ ส่งผลให้ตลาดคาดว่าวงจรการขึ้นดอกเบี้ยของ FED สิ้นสุดลงแล้ว สะท้อนจาก FED watch tool ให้น้ำหนักสูงถึง 95% ที่ Fed จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.50% ในเดือนนี้ ขณะที่มีโอกาสสูงที่จะเห็นการทยอยปรับลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 2567
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าตัวเลขเศรษฐกิจจีน และยุโรป แสดงความอ่อนแอในเชิง เศรษฐกิจภาคบริการ และอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตลาดคาดว่าการประชุม FED ในเดือนนี้มีโอกาสสูงถึง 95% ที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับเดิม และทยอยปรับลด ดอกเบี้ยช่วงต้นปีหน้า ฝ่ายวิจัยฯ คาดว่า SET Index ช่วงสั้นมีโอกาสแกว่งทรงตัวใน กรอบแคบ โดยวันนี้คาดกรอบการเคลื่อนไหวไว้ที่กรอบ 1540-1555 จุด
เงินเฟ้อไทยต่ำ...หนุนดอกเบี้ยขาขึ้นจบรอบ แต่ยังต้องระวัง ความเสี่ยงราคาน้ำมันพุ่ง
วานนี้กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ส.ค. + 0.88%YoY (สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.61%YoY และเดือนก่อนที่ 0.38%) หลังราคา พลังงานปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตามยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมายที่ 1- 3% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หลักๆ มาจากการชะลอตัวของสินค้าในหมวดอาหารและ เครื่องประกอบอาหาร อาทิ เนื้อหมู ไก่ กุ้ง ผักสด น้ำมันพืช ผงซักฟอก ฯลฯ ส่งผลให้ Core CPI ลดลงเหลือ +0.79 %YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.8%YoY และเดือนก่อนที่ 0.86%YoY) และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 19เดือน
ด้วยเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้ CPI เฉลี่ย 8 เดือนแรกของปี 2566 +2.01%AoA ขณะที่ภาคการส่งออกไทยฟื้นตัวช้า โดย 7 เดือนแรกของปีนี้หดตัว - 5.5%AoA บวกกับรายจ่ายท่องเที่ยวลดลง จึงกดดันภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วง 2Q66 ออกมาต่ำกว่าคาด จนทำให้ ธปท. เตรียมปรับลดประมาณการณ์GDP
ปัจจัยดังกล่าวทำให้ทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. เปลี่ยนไป จาก Smooth take off ไปสู่การ Landing อย่างมีเสถียรภาพ (ดอกเบี้ยเหมาะสมกับภาพ ระยะยาว) ซึ่งอาจหนุนให้ กนง. มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.25% ในการประชุม วันที่ 27 ก.ย.นี้ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของตลาด สะท้อนจาก Bond Yield ไทย 1 ปี ล่าสุดยังต่ำกว่า Policy Rate
อย่างไรก็ตาม แม้ดอกเบี้ยในบ้านเรามีแนวโน้มทรงตัวมากขึ้น แต่เงินเฟ้อไทยยังมี โอกาสขยับขึ้นได้เช่นกัน ตั้งแต่แรงกระตุ้น Demand จากรัฐบาลชุดใหม่ บวกกับความ เสี่ยงภัยแล้งรวมถึงราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยล่าสุดซาอุดีอาระเบียได้ประกาศ ขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรล/วัน จนถึงสิ้นปีนี้ (เดิมปรับลดถึงแค่เดือน ก.ค.) ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบBrent วานนี้พุ่ง สูงสุดนับแต่เดือน พ.ย. 2022
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในทิศทางที่ดี แม้ราคาพลังงานจะเร่งตัวขึ้นมาเร็ว แต่ระดับ CPI ถือว่าทรงตัว ส่งสัญญาณให้โอกาสขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง ส่งผลดีต่อเม็ด เงินไหลเข้า SET Index โดยกรณีที่ Flow ต่างชาติไหลเข้า SET มีแนวต้านปลายปีอยู่ที่ 1595 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.3%) แนะนำหุ้นเด่นสุดรับเงินเฟ้อทั่วไปสูงหนุนกลุ่ม พลังงาน PTT (BK:PTT) PTTEP TOP และได้แรงหนุนจากการชะลอขึ้นดอกเบี้ย พร้อมกับ คาดหวังรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม MTC, SAWAD, ORI, CRC, CPN, BJC, ADVANC
หุ้นไทยอิงราคาน้ำมัน มีโอกาสพลิกฟื้นขึ้นมาช่วยหนุนตลาด
ราคาน้ำมันดิบ Brent วานนี้ปรับตัวขึ้นมายืนเหนือ 90 เหรียญ/บาร์เรล (สูงสุดในรอบ เกือบ 1 ปี) และเป็นการเร่งขึ้นเฉพาะช่วง 3Q66 กว่า 20.2%(QTD) หลังจากช่วง 1H66 ปรับตัวลดลงมา -13% โดยแรงหนุนราคาน้ำมันให้เร่งขึ้นมาแรงในไตรมาสที่ 3 นี้ คือ OPEC+ ขยายระยะเวลาลดกำลังผลิตตลอดทางจากสิ้นเดือน ส.ค. ตอนนี้เป็นปลายปี, จีนเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง, แรงกดดันจาก Fed ขึ้นดอกเบี้ยลดลง
แต่จะสังเกตได้ว่า ในช่วง 3Q66 หุ้นพลังงานไทยราคาค่อนข้าง Laggard กว่าราคา น้ำมันมากเกินไป โดย SETENERGY ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ BRENT ที่ เร่งขึ้นมาแรงถึง -17.8%(QTD) ส่วน Alpha หรือผลต่างของผลตอบแทนกับราคา น้ำมัน QTD ในหุ้นตัวอื่นๆ อาทิ IVL -37%, PTTGC -22%, PTT -16%, PTTEP - 13%, TOP -10%, SPRC -7.8% เป็นต้น ซึ่งหุ้นดังกล่าวน่าจะสะท้อนความกังวล ประเด็นนโยบายปรับลดราคาพลังงานจากรัฐบาลใหม่มาพอสมควรแล้ว
ขณะเดียวกันหากไปดูประมาณการกำไรจาก Bloomberg Consensus พบว่า กำไร ของ SETENERGY Index ถูกลดประมาณการกำไรลงมาต่อเนื่องหลังมีการรายงาน งบ 2Q66 แล้วถึง -26%ytd ปรับลดมากกว่าภาพรวมตลาด หรือ SET Index ที่ถูก ปรับประมาณการกำไรลง -16%ytd แต่ราคาน้ำมันที่เร่งขึ้นมาเร็วมีโอกาสเห็นการ ทยอยปรับประมาณการในกลุ่มพลังงานขึ้นในช่วงที่เหลือของปีได้ ที่สำคัญคือ SET Index ประกอบไปด้วยหุ้นอิงกับราคา Commodity สูงถึง 1 ใน 3 ของตลาด ดังนั้นหุ้น พลังงานมีโอกาสพลิกฟื้นขึ้นมาช่วยหนุนตลาดอีกแรง
สรุปราคาหุ้นพลังงานที่ Laggard ราคาน้ำมันดิบโลกมาก ซึ่งน่าจะสะท้อนปัจจัยลบ จากนโยบายลดราคาน้ำมันของรัฐบาลใหม่มาพอสมควร และยังได้แรงหนุนจากราคา น้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นมาเร็ว แนะนำเก็งกำไรหุ้น PTTEP, TOP, PTTGC, SPRC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities