🏃 คว้าข้อเสนอ Black Friday ก่อนใคร รับส่วนลดสูงสุด 55% สำหรับ InvestingPro ตอนนี้!รับส่วนลด

ผ่าน 1570 จุด เร็วกว่าที่คิด เป้าต่อไป 1595 จุด 

เผยแพร่ 31/08/2566 09:23
SETI
-

SET Index ปรับขึ้นมาเหนือ 1570 จุด ได้เร็วกว่าที่คาด โดยมีปริมาณการซื้อขาย ที่หนาแน่น และ การซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ สนับสนุน ในทางปัจจัยพื้นฐาน เราประเมินเป้าหมายต่อไปของ SET Index ที่บริเวณ 1595 – 1600 จุด ทั้งนี้อยู่ บนสมมุติฐานว่า กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนปี 2566 อยู่ที่ 1.09 ล้านล้าน บาท คิดเป็น EPS 88.6 บาท/หุ้น (Bloomberg Consensus ที่ 89.6) กำหนด Market Earning Yield Gap ที่ 3.3% โดยที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายคงไว้ที่ 2.25% สำหรับ Investment Theme ที่น่าสนใจนอกจากหุ้นที่ได้ประโยชน์จาก นโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ได้นำเสนอมาแล้ว ยังมีหุ้นอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจคือ กลุ่มที่คาดว่าจะเห็นผลประกอบการงวด 2H66เติบโตสูงเมื่อเทียบกับ 1H66เช่น ปิโตรเคมี, Media, อาหาร, บรรจุภัณฑ์, อสังหาฯ และ ค้าปลีก เป็นต้น

ประเมินว่า SET Index น่าจะมีMomentum เหวี่ยงขึ้นได้ต่อ โดยมี 1570 จุด เป็น แนวรับ และ แนวต้านอยู่ที่ 1590 จุด หุ้น Top Pick วันนี้เลือก AOT (BK:AOT), ORI และ SCGP

ประเด็นตรึงดอกเบี้ยยังเวียนวน มากดดันดอลลาร์อ่อนค่า

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเผย GDP ใน 2Q66 ประมาณการครั้งที่ 2 ขยายตัว 2.1%QoQ ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.4%QoQ แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 2.0% QoQ หลังการใช้จ่ายภาครัฐและการบริโภคภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวลง ส่วนภาคการ ส่งออกพลิกกลับมาเป็นติดลบ อย่างไรก็ตามยังพอมีแรงหนุนจากการลงทุน ภาคเอกชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ Bloomberg ยังคงมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ เกิดภาวะถอย โดยคาด GDP สหรัฐในปีนี้และปีหน้าจะไม่หดตัว ซึ่งเป็นภาพของการ เกิด Soft Landing

ขณะเดียวกัน ADP ยังเผยการจ้างงานภาคเอกชนอยู่ที่ 1.77 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่า คาดที่ 1.95 แสนตำแหน่ง และลดลงจากเดือนก่อนที่ 3.71 แสนตำแหน่ง โดยลดลงใน เกือบทุกอุตสาหกรรมโดยเฉพาะภาคบริการ หลังหมดช่วง High Season ของฤดูท่องเที่ยว นอกจากนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเผยเงินเฟ้อเดือนส.ค. อยู่ที่ 6.1%YoY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ 6.2%YoY ซึ่งภาพเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงมาเช่นนี้ เชื่อว่า จะสอดคล้องกับตัวเลขเงินเฟ้อของยุโรปที่จะมีการรายงานในวันที่ 31 ส.ค.

ส่วนล่าสุดเช้านี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยดัชนี PMI เดือน ส.ค. โดยในภาค การผลิตอยู่ที่ 49.7 จุด ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนที่ 49.3 จุด ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี ของการฟื้นตัวทางเศรฐกิจจีน หลังภาครัฐได้ประกาศมาตราการกระตุ้นการบริโภคและ การลงทุน และเรียกความเชื่อมั่นของประชาชน ในการประชุม Politburo เมื่อช่วงปลาย เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

ตัวเลขเศรษฐกิจในหลายภาคส่วนที่ชะลอตัวต่อเนื่อง ทั้งภาคการจ้างงาน ภาคการ ผลิต และเศรษฐกิจโดยรวม ล้วนเป็นสัญญาณว่าผลกระทบของดอกเบี้ยสูงได้ถูก ส่งผ่านไปยังกิจกรรมเศรษฐกิจแล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางไม่จำเป็นต้อง เร่งขึ้นดอกเบี้ยเหมือนช่วงปีที่ผ่านมาอีกต่อไป ขณะที่ Fed น่าจะใกล้เห็นการคง ดอกเบี้ยในปีนี้ กดดัน Dollar Index รวงลงราว 1% ภายใน 2 วัน เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่ง แรงผลักให้เงินบาทแข็งค่า

หากมูลค่าซื้อขายยังคึกคัก จะหนุน SET สิ้นปีขึ้นไป 1595 จุดได้

กำไรงวด 2Q66 ของบริษัทจดทะเบียน รายงานออกมามีกำไรสุทธิรวม 2.24 หมื่น ล้านบาท (-17QoQ / -37%YoY) ซึ่งหากพิจารณาจาก Bloomberg Consensus จะ เห็นได้ว่า กำไร 2Q66 ต่ำกว่าคาดราว 3.7% กดดันให้ SET INDEX ทำจุดต่ำสุดในเดือน ส.ค. หลังวันประกาศงบเสร็จ ที่ 1506 จุด กดดันให้กำไรบริษัทจดทะเบียน 1H66 4.96 แสนล้านบาท (ลดลง 23%YOY แต่ เพิ่มขึ้น 22%HOH) คิดเป็น 46% ของ ประมาณการกำไรปี 2566 ที่ 1.09 แสนล้านบาท

ขณะที่ฝ่ายวิจัยฯประเมิน เป้าหมาย SET INDEX ปี 2566 โดยอิง MEYG ที่ระดับ 3.5% (เป็นระดับ MEYG ที่บริเวณปริมาณซื้อขายเฉลี่ยที่ 5 หมื่นล้านบาท/วัน) และ ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.25% จะได้ P/E ซื้อขายที่เหมาะสม 17.4 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS66F ที่ 88.6 บาท/หุ้น ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1541 จุด และเมื่อคูณกับ EPS67F ที่ 99.8 บาท/หุ้น ได้ดัชนีเป้าหมายปี 2566 ที่ 1735จุด

แต่ถ้าอิง MEYG 3.3% (มูลค่าซื้อขายกลับมาสูงกว่า 6 หมื่นล้านบาท/วัน) จะได้ P/E ซื้อขายที่เหมาะสม 18 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS66F ที่ 88.6 บาท/หุ้น ได้ดัชนี เป้าหมายปี 2566 ที่ 1595 จุด และเมื่อคูณกับ EPS67F ที่ 99.8 บาท/หุ้น ได้ดัชนี เป้าหมายปี 2566 ที่ 1796 จุด

สรุป ปัจจุบัน SET INDEX ขึ้นมาต่อเนื่อง แต่ถ้ารักษาระดับมูลค่าซื้อขายที่เข้ามา คึกคักให้เกิน 6 หมื่นล้านบาทต่อวันได้ ปลายปี SET มีโอกาสถูกผลักดันไปได้ถึง 1595 จุด และส่วนดัชนีเป้าหมายปี 2567 เบื้องต้นประเมินอยู่ที่ 1735 จุด

แนวทางนโยบายลดราคาพลังงาน ส่งผลอย่างไรต่อตลาดหุ้น

วานนี้ (30 ส.ค.) นายเศรษฐา นายกรัฐมนตรี ได้มีการหารือกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์ มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานของรัฐบาลรักษาการ และม.ล.ชโยทิต กฤดากร หัวหน้าทีมเศรษฐกิจของพรรครวมไทยสร้างชาติ เกี่ยวกับ การจัดทำนโยบายของรัฐบาลใหม่ เพื่อส่งไม้ต่อในการทำงานด้านเศรษฐกิจร่วมกัน และจัดทำร่างนโยบาย ซึ่งนายเศรษฐารับทราบสิ่งที่รัฐบาลรักษาการทำมาแล้ว ส่วนจะ สานต่อหรือดัดแปลงเรื่องใด เป็นนโยบายที่รัฐบาลใหม่จะพิจารณา โดย 3 ประเด็น หลัก ที่มีการหารือกัน ได้แก่

1. การตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG) : ปัจจุบันตรึงราคา LPG ไว้ที่ 423 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม โดยมีกรอบระยะเวลาจะสิ้นสุด 31 ส.ค.66 แต่เนื่องจากต้องรอให้รัฐบาล ใหม่เข้ามาพิจารณาราคาก๊าซหุงต้มใหม่ ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุน นำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เมื่อวันที่ 29 ส.ค.2566เห็นชอบแนวทางพิจารณาแนวทางการ รักษาเสถียรภาพระดับราคาขายปลีก LPG ต่ออีกเป็นระยะเวลา 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย.2566ไปก่อน

โดยแนวทางที่ได้มีการนำเสนอไว้ คือ

1) การใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงรักษาเสถียรภาพ LPG ให้เป็นไปตามกรอบเป้าหมายราคาขายปลีก LPG ที่คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) กำหนด

2) ใช้งบประมาณรัฐอุดหนุนราคา

3) ใช้เงินสนับสนุนจากบริษัทพลังงาน

2. การลดราคาน้ำมันสำเร็จรูป : ในส่วนของน้ำมันดีเซลในปัจจุบันได้ใช้ เงินกองทุนน้ำมันเพลิงอุดหนุนอยู่ที่ 6.43 บาทต่อลิตร ทำให้ราคาปัจจุบันอยู่ที่ 31.94 บาทต่อลิตร ซึ่งจะกระทบกองทุนน้ำมันเฉลี่ยเดือนละ 10,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน ฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 10,375 ล้านบาท

ทั้งนี้แนวทางการลดราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ได้มีการนำเสนอไว้ใน คือ

1) ลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล ซึ่งหากลดภาษีลงลิตร ละ 5 บาท จะกระทบกับรายได้รัฐบาลเดือนละ10,000 ล้านบาท

2) ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งน้ำมันดีเซลและ เบนซิน โดยปัจจุบันถึงแม้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะอุดหนุนน้ำมันดีเซลลิตรละ 6.43 บาท แต่น้ำมันดีเซลถูกเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลิตรละ 0.81-2.80 บาท ส่วน น้ำมันเบนซินถูกจัดเก็บอยู่ราว 0.81-2.80 บาทต่อลิตร ขึ้นอยู่กับแต่ละประเภท

3) ปรับโครงสร้างราคาน้ำมัน โดยเฉพาะราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งขณะนี้ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) อยู่ระหว่างการจัดการโครงสร้างใหม่

3. การลดค่าไฟฟ้า : ปัจจุบันค่าไฟฟ้างวด ก.ย.-ธ.ค. 66 อยู่ที่ 4.45 บาทต่อ หน่วย (ค่า Ft 66.89 สตางค์ต่อหน่วย) ซึ่งที่ผ่านมามีการสรับสนุนผ่านการกู้เงินของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตเพื่อมาลดค่า Ft ทั้งนี้แนวทางการลดค่าไฟฟ้าที่ได้มีการนำเสนอไว้ใน คือ

1) รัฐบาลจัดงบประมาณเข้ามาช่วยอุดหนุนค่าไฟฟ้าเหมือนที่รัฐบาล ชุดที่แล้วเคยด.าเนินการ โดยใช้มติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ซึ่งที่ผ่านมาช่วยเหลือผู้ใช้ไฟเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่ใช้ ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนและส่วนผู้ใช้ไฟที่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ให้ปรับการ ช่วยเหลือเป็นแบบขั้นบันได เป็นต้น

2) การบริหารก๊าซธรรมชาติเพื่อการผลิตไฟฟ้า โดยจัดสรรก๊าซ ธรรมชาติจากอ่าวไทยหลังโรงแยกก๊าซเพื่อใช้ใ้นการผลิตไฟฟ้าสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้า ประเภทบ้านอยู่อาศัยก่อน ในปริมาณที่ไม่เพิ่มภาระอัตราค่าไฟฟ้าจากปัจจุบัน

3) การยืดหนี้ค่าบริหารจัดการค่าไฟฟ้าผันแปร (เอฟที) ของการไฟฟ้า ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่ง กฟผ.รับภาระไปก่อนรวมวงเงิน 110,000 ล้าน บาท โดยผู้ใช้ไฟมีกำหนดใช้หนี้คืน กฟผ. รวม 22 เดือน และถ้าจะลดค่าเอฟทีต้อง ขยายเวลาคืนหนี้ให้ กฟผ.ออกไป โดยรัฐบาลต้องมาแก้ปัญหาสภาพคล่องให้ กฟผ. เช่น การออกพันธบัตรรัฐบาล

4) การปรับแก้ในเรื่องของค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) โดยการเจรจาการลด Margin การยืดเวลาของสัญญาเดิม และไมเร่งการเพิ่มซัพ พลายของการผลิตไฟฟ้า

5) การเร่งเจรจาหาข้อยุติพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อเปลี่ยนความ ขัดแย้งในอดีต ให้กลับมาเป็นโอกาสของประเทศที่จะได้ใช้ก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุน เชื้อเพลิงสำคัญในการผลิตไฟฟ้าที่ถูก

อย่างไรก็ตามทุกประเด็น ยังต้องรอข้อสรุปแนวทางนโยบายจากทางรัฐบาลใหม่ว่าจะ เป็นไปในแนวทางใด แต่ทั้งนี้จากข้อเสนอแนวทางที่มีการเจรจาในที่ประชุมดังกล่าว พบว่านอกจากผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับภาครัฐที่จะต้องอุดหนุนเพื่อลดราคา พลังงานแล้ว เบื้องต้นจากประเด็นข่าวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเอกชนที่จด ทะเบียนในตลท. ใน 2 ส่วนหลักได้แก่

1) ประเด็นการปรับโครงสร้างราคาหน้าโรงกลั่น ซึ่งในอดีตเคยถูกหยิบ ยกขึ้นมากล่าวถึง แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากราคาหน้าโรงกลั่นจะเป็น ราคาที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของโรงกลั่น และเป็นราคาที่ถือว่าใกล้เคียงกับราคาที่ซื้อ ขายกันในตลาดภูมิภาค อย่างไรก็ตามประเด็นข่างดังกล่าวอาจทำให้ตลาดมีความ กังวลต่อหุ้นโรงกลั่นในช่วงสั้นได้จนกว่าจะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

2) ประเด็นการปรับแก้ในส่วนของค่าความพร้อมจ่าย (Availability Payment: AP) ซึ่งหากมีกาปรับแก้ไขจริงจะส่งผลกระทบต่อกำไรของโรงไฟฟ้า IPP ที่ จะลดลงจากสัญญาเดิมที่ได้ทำไปก่อนหน้านี้ ซึ่งในอดีตยังไม่เคยมีการกล่าวถึงใน รัฐบาลที่ผ่านๆมา แต่ทั้งนี้ประเด็นข่าวที่ออกมาอาจส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า IPP อาทิ GULF, GPSC, RATCH, EGCO, BPP เป็นต้น

บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย