ภาคเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นเป็นลำดับต้นๆ จากรัฐบาลใหม่ คงหนี้ไม่พันกลุ่มท่องเที่ยว ในฐานะที่เป็นภาคอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ไทย อีกทั้งกำลังจะกลับเข้าสู่ช่วง High Season เบื้องต้นคาดว่าจะเห็นมาตรการ Free Visa สำหรับนักท่องเที่ยวจีน – อินเดีย, การกระตุ้นให้เพิ่มเที่ยวบิน รวมถึง การเตรียมความพร้อมในการเพิ่มกำลังการรองรรับนักท่องเที่ยวของสนามบิน ซึ่งแนวทางดังกล่าวน่าจะสร้าง Sentiment เชิงบวกให้กับหุ้นกลุ่ม เดินทางทาง - ท่องเที่ยว สำหรับภาพใหญ่ของการจัดตั้ง ครม. น่าจะข้อยุติ ลำดับถัดไปจะเป็น การตรวจสอบคุณสมบัติ ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ ทำให้เป็นไปได้ที่จะเห็นการแถลง นโยบายต่อสภาฯ ในช่วงกลางเดือน ก.ย.66 และเริ่มทำงาน ส่วนปัจจัยใน ต่างประเทศ ความสนใจหลักอยู่ที่เศรษฐกิจจีน ซึ่งส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนี่อง
ประเมินจากปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานคาดว่า SET Index ยังจะไม่สามารถผ่าน แนวต้านสำคัญบริเวณ 1570 จุดขึ้นไปได้ ส่วนแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1545 จุด สำหรับหุ้น Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), ORI และTRUE
เศรษฐกิจจีนคาดหวังอยู่ในโซน Bottom Out
เครื่องยนต์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนที่ค่อนข้างทำงานไม่มีประสิทธิถาพ ทำให้ การฟื้นติดขัดนับตั้งแต่ต้นปี และได้กระจายผลกระทบไปยังหลายประเทศ รวมถึงภาค ส่วนต่างๆ อาทิ
• ภาคการค้าระหว่างประเทศ โดยมูลค่าการนำเข้าของจีนลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายประเทศทั่วโลกที่ส่งออกไปยังจีนเป็นหลักได้รับผลกระทบหนัก เฉพาะอย่างยิ่งในฝั่งแอฟริกาและเอเชีย ซึ่งมูลค่าการส่งออกลดลงกว่า 14% ในช่วง 7 เดือนแรกที่ผ่านมา ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความ ต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ลดลง
• ภาคการท่องเที่ยว โดยการเดินทางออกนอกประเทศของจีนอยู่ในระดับที่ ต่ำมาก แทบจะเทียบไม่ได้กับช่วงก่อนโควิด ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคการ ท่องเที่ยวของประเทศต่างๆรวมถึงไทยด้วยเช่นกัน
• การเคลื่อนไหวในตลาดการเงิน ซึ่งผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของจีนที่ปรับตัวลดลง ทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติชะลอการไหลเข้าจีน สะท้อนจากสัดส่วนการลงทุน Bond ในจีนที่ลดลงกว่า 30.2 พันล้าน เหรียญฯ นับตั้งแต่ต้นปี 2566
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ดูไม่คอยสดชื่นในช่วงก่อหน้านี้จะอยู่ในโซน Bottom แล้ว และคาดหวังว่าระยะถัดไปจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ซึ่งในสัปดาห์นี้ยังต้อง ติดตาม การเยือนจีนของรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เพื่อหวังกระชับ ความสัมพันธ์เพื่อบรรเทาความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีน-สหรัฐฯ และน่าจะทำ ให้บรรยากาศความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนมีเสถียรภาพและราบรื่นมากขึ้น
นอกจากนี้ในวันที่ 31 ส.ค. ทางการจีนจะมีการรายงานตัวเลข ดัชนี PMI เดือน ส.ค. โดย Consensus คาดทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ จะปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน แม้รัฐบาลจีนจะประกาศมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในประชุม Politburo ช่วง ปลายเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งอาจสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจจีนมีโอกาสใช้เวลาในการฟื้น ตัวนานขึ้น และอาจเป็นแรงผลักให้รัฐบาลจจีนจำเป็นต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ภายในประเทศอย่างเร่งด่วน ก่อนที่เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะหดตัว
สรุป ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ดูไม่ค่อยสดใสนับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2566 จากเครื่องยนต์ การขับเคลื่อนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ ได้กระจายผลกระทบไปยังหลายประเทศ รวมถึงภาคส่วนต่างๆ อาทิ ภาคการค้าระหว่างประเทศ, ภาคการท่องเที่ยว, การ เคลื่อนไหวในตลาดการเงิน ซึ่งท้ายที่สุดปัจจัยเชิงลบที่เกิดขึ้น อาจเป็นแรงผลักให้ รัฐบาลจจีนจำเป็นต้องแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศอย่างเร่งด่วน ก่อนที่ เศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะหดตัว
การจัดสรร ครม.มีความคืบหน้า หนุน SET ไปทดสอบแนวต้าน 1570 จุด
การจัดสรรคณะรัฐมนตรีที่ลงตัวแล้วกว่า 90% พร้อมส่งรายชื่อให้สำนักนายกฯ เช็ค คุณสมบัติภายใน 2-3 วันนี้ โดยรายละเอียดของชุด ครม. ใหม่ มีดังนี้
• พรรคเพื่อไทย คุม 8 กระทรวง เน้นด้านเศรษฐกิจ
• พรรคภูมิใจไทย คุม 4 กระทรวง เน้นด้านการปกครอง การศึกษา
• พรรคพลังประชารัฐ คุม 2 กระทรวง เน้นด้านเกษตร
• พรรครวมไทยสร้างชาติ คุม 2 กระทรวง เน้นด้านอุตสาหกรรม พลังงาน
• พรรคชาติไทยพัฒนา / พรรคประชาชาติ คุม 1 กระทรวง
ซึ่งหากพิจารณารายละเอียดข้างต้น จะเห็นได้ว่า แต่ละกระทรวงมีการเปลี่ยนแปลง พรรคที่เข้ามาบริหารเมื่อเทียบกับชุดรัฐบาลเดิม มีเพียงแค่พรรครวมไทยสร้างชาติที่ คุมกระทรวงเดิม คือ กระทรวงพลังงาน ซึ่งหมายความว่า เข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน และลด การสืบทอดอำนาจในกระทรวงเดิมของแต่ละพรรคการเมือง อีกทั้งพรรคเพื่อไทย บริหารในกระทรวงด้านเศรษฐกิจเป็นส่วนใหญ่ เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจและปากท้องของ ประชาชน ซึ่งล่าสุด นายเศรษฐา ทวีสิน ประชุมร่วมกับ 8 สายการบิน รวมถึงหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง (AOT, สนง.การบินพลเรือน) เพื่อร่วมรับฟังและหารือข้อเสนอแนะด้านการ บิน เตรียมพร้อมรับนักท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจช่วง High Season ปลายปีนี้(ซึ่ง รายละเอียดเชิงลึกอยู่ในหัวข้อถัดไป)
สรุป การจัดตั้ง ครม.ชุดใหม่ เห็นสัญญาณที่ชัดเจนขึ้น คาดหวังการเข้ามาบริหาร ประเทศเร็วขึ้น คาดอยู่ช่วงต้น ก.ย.6 ถือเป็น Sentiment เชิงบวกต่อ SET Index และ เป็นแรงหนุนให้ FLow ต่างชาติไหลกลับเข้ามา
ประเด็นฟรี VISA เลือก ERW, AOT และ CPN
ภายใต้กระแสการกระตุ้นภาคท่องเที่ยว ที่ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของ GDP ไทย และสามารถทำได้เร็วกว่านโยบายอื่น ผ่านการยกเว้น VISA ให้กับนักท่องเที่ยวที่เดิน ทางเข้ามาประเทศไทย อาทิ จีน (VISA สถานกงศุล 200 หยวนต่อครั้ง, VISA หน้าด่าน หรือ VOA 500 หยวนต่อครั้ง) และอินเดีย ในช่วง High Season รวมทั้งการเพิ่ม เที่ยวบิน และแผนในระยะยาว อย่างการพัฒนาสนามบิน และการให้ AOT เข้าบริหาร สนามบินในต่างจังหวัดเพิ่มเติม
ประเด็นข้างต้น ฝ่ายวิจัยมองกรณีที่เกิดขึ้น ช่วยจูงใจนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทย ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวไทย (ต.ค. เป็นช่วง Golden week ของจีน) โดยประเมินผลบวก ต่อหุ้นในกลุ่มฯ เรียงตามสัดส่วนรายได้ในไทย ดังนี้ AOT ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย > ERW สัดส่วนราว 90% มาจากโรงแรมไทย > CENTEL สัดส่วน 82% ของรายได้ โรงแรมงวด 1H66 อยู่ในไทย (รายได้ร้านอาหาร : โรงแรม ที่ 58% : 42%) > MINT สัดส่วนรายได้ราว 50% มาจากใน EU
สำหรับทิศทางกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ของหุ้นท่องเที่ยว (AOT, CENTEL และ ERW) ที่มีโครงสร้างรายได้ในไทยเป็นหลัก ไต่ระดับ QoQ (+ YoY) ตั้งแต่ 3Q66 –1Q67 หลังผ่าน Low Season ของท่องเที่ยวไทยในช่วง 2Q66 ผสานกับมาตรการกระตุ้น ท่องเที่ยวจากภาครัฐ คาดการณ์หนุนค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ยืนในระดับสูงต่อเนื่อง หลังงวด 2Q66 ADR ของโรงแรมไทย ทั้ง CENTEL, ERW และ MINT ล้วนสูงเกินระดับ 2Q62 นอกจากนี้แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นช่วง 4Q66 คาดช่วยเพิ่ม ปริมาณ Traffic ในศูนย์การค้า และเป็นแรงส่งทางอ้อมต่อกำลังซื้อในประเทศ บวกต่อ หุ้นที่เกี่ยวข้อง อย่าง CPN และกลุ่มร้านอาหารที่อยู่ในศูนย์การค้า เช่น CENTEL, MINT และ M
โดยกลยุทธ์การลงทุนในธีมกระตุ้นภาคท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ เน้นหุ้นที่มีโครงสร้าง รายได้ในไทยเป็นหลัก นำโดย ERW (Outperform : FV@B6.0) , AOT (Outperform : FV2567@B85) และ CENTEL(Neutral : FV@B54) ส่วน MINT (Outperform : FV@B38) แม้สัดส่วนรายได้ในไทยต่ำกว่ากลุ่มฯ แต่ชอบในการกระจายตัวของธุรกิจใน หลายประเทศ ประกอบกับราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมายังปรับขึ้นช้ากว่ากลุ่มฯ มองว่า สามารถ catch-up ตามหุ้นในกลุ่มฯ ได้ รวมไปถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์ทางอ้อมอย่าง CPN (Outperform : FV@B79) และร้านอาหาร อาทิ M ที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ราว 698 สาขา มีลุ้นรับประโยชน์จากนโยบาย Digital wallet ในปีหน้า
ยังเห็นคาดหวัง SET Index เดินหน้าต่อ กับครม.ใหม่
หลังวันโหวตนายกฯ (22 ส.ค. 66) SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกวัน ราว 38 จุด ซึ่ง ล่าสุดยังติดแนวต้านเส้น EMA 200 วัน บริเวณ 1570 จุด แต่เชื่อว่ามีโอกาสผ่านไปได้ ในระยะถัดไป จากการเดินหน้าปรับกลยุทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจของครม. ชุดใหม่ ซึ่งมี การแบ่งกระทรวงของแต่ละพรรคการเมือง ออกเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน ทำให้มี ความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยยังให้ความสำคัญกับ เรื่องเศรษฐกิจเป็นหลัก
ในมุมตลาดหุ้นจะสังเกตได้ว่ามีหลายๆ สัญญาณเป็น Momentum ขับเคลื่อนที่ดีต่อ ตลาดหุ้นไทย ดังนี้
• หลังวันโหวตนายกฯ ถึงปัจจุบัน (22 - 28 ส.ค. 66) SET Index ปรับตัวขึ้น
+2.4% Outperform กว่าตลาดหุ้นโลก (MSCI World) ที่ +0.8% ถือเป็น
สัญญาณที่ดีต่อตลาดหุ้นไทย
• มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยหลังโหวตนายกฯ กลับมาคึกคัก สูงขึ้นอยู่ในระดับ 5 –7
หมื่นล้านบาท/วัน ดีกว่าช่วงที่เกิดสูญญากาศทางการเมือง ที่มูลค่าซื้อขาย
เหลือเพียง 3 –4 หมื่นล้านบาท/วัน เท่านั้น
• หลังโหวตนายกฯ ผลตอบแทนมีการกระจายตัวไป Sector ต่างๆ มากขึ้น
หลังกระจุกตัวอยู่เฉพาะกลุ่ม ธ.พ. และชิ้นส่วนฯ หนุนให้นักลงทุนมีโอกาสได้
ผลตอบแทนเป็นบวกมากขึ้น
สรุป SET Index มีโอกาสถูกขับเคลื่อนจากหลาย Sector มากขึ้น ดังกลยุทธ์แนะนำ กระจายลงทุนในหลากหลาย Sector มากขึ้น โดยเน้นหุ้นที่ราคา Laggard แต่ยังได้ Sentiment บวกจากการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง อย่าง SCGP, JMT, TIDLOR, CK, ORI, WHA, AMATA, BJC, CPALL (BK:CPALL), CPF, JMART, ERW, AOT
ส่วน Top pick วันนี้เลือก AOT, ORI, TRUE
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities