ประเมินจากการเคลื่อนไหวของ SET Index และ พัฒนาการของข่าว เชื่อว่านัก ลงทุนอยู่ในโหมดที่เชื่อว่าการโหวตนายกรัฐมนตรีวันนี้ น่าจะผ่านไปด้วยดี และ นำไปสู่กระบวนการของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งน่าจะทำหน้าที่อย่างเป็นทางการได้ ในช่วงต้นเดือน ก.ย.66 หากสถานการณ์เป็นไปตามคาด เชื่อว่ามีโอกาสที่ SET Index จะปรับขึ้นไปสู่เป้าหมายแรกที่ 1545 จุด หลังจากนั้นทิศทางการเคลื่อนไห จะอยู่ที่สถานะของรัฐบาลใหม่ว่า มีเสถียรภาพมากน้อยแค่ไหน, มีกระแสการ ชุมนุมนอกสภาหรือไม่ รวมถึงสามารถขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ได้มี ประสิทธิภาพเพียงใด ส่วนปัจจัยอื่นที่ต้องติดตามได้แก่สถานการณ์เศรษฐกิจ ของจีน ที่ดูเหมือนสัญญาณของปัญหาปรากฎทั้งในภาค Real Sector และ Financial Sector ส่วนเศรษฐกิจไทยงวด 2Q66 โตเพียง 1.8% YoY ทำให้ต้อง ปรับลดประมาณการลง ซึ่งน่าจะส่งผลกระทบต่อประมาณการกำไร บจ. ด้วย
บนความคาดหวังว่าการโหวตเลือกนายกฯ จะผ่านไปด้วยดี ประเมินว่า SET Index น่าจะสามารถปรับขึ้นไปทดสอบแนวต้านที่ 1545 จุดได้ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1520 จุด หุ้น Top Pickวันนี้ เลือก BJC, ERW และTRUE
ภาคการบริโภคไทยยังดูดี ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกเสี่ยงชะลอตัว
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวในกรอบแคบ เนื่องจากนักลงทุนยัง รอติดตามการประชุม Jackson Hole ปลายสัปดาห์นี้ (24-26 ส.ค.) เพื่อจับสัญญาณ การดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในระยะถัดไป ทั้งนี้ดอกเบี้ยสหัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูง อาจทำให้เกิดเศรษฐกิจ Recession ตามมาได้ ขณะที่ Bloomberg ได้สำรวจนัก เศรษฐศาสตร์ 602 คน พบว่าราว 60% มองว่า Fed ยังคงไม่สามารถจัดการกับ ปัญหาเงินเฟ้อได้ และอีกเกือบ 80% มองว่าดอกเบี้ยจะค้างอยู่ในระดับสูงยาวนาน
สำหรับตลาดหุ้นในฝั่งจีน –1.2% และฮ่องกง -1.8% ซึ่งยังได้รับแรงกดดันต่อเนื่อง จากปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของจีน เฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงในภาค อสังหาริมทรัพย์ (มีสัดส่วน 30% ของ GDP) โดยช่วง 7 เดือนแรกของปี 2566 ผู้พัฒนาอสังหาฯ มีการผิดนัดการชำระดอกเบี้ยหุ้นกู้ รวมมูลค่าแล้วกว่า 4.7 พันล้านเหรียญฯ ขณะที่รีฐบาลจีนอาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากผ่านนโยบาย การเงินแบบผ่อนคลาย เนื่องจากอาจกดดันให้เงินหยวนอ่อนค่าต่อเนื่อง
เครื่องยนต์เศรษฐกิจต่างๆ ของจีนทำงานได้ไม่เต็มที่ อาจเป็นปัจจัยกดดันให้ GDP ขยายตัวได้น้อยลงในระยะถัดไป ขณะที่ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีนมักเป็น Leading Indicator ต่อเศรษฐกิจไทย ราว 1-2 ไตรมาส ดังนั้นการฟื้นตัวเศรฐกิจจีนจึงมี ความสำคัญอย่างมากต่อบ้านเรา
ขณะที่เช้าวานนี้ สศช. ได้รายงาน GDP ไทยใน 2Q66 +1.8%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาด ที่ 3.0%YoY) และ +0.2QoQ (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 1.1%QoQ) ทำให้เศรษฐกิจบ้าน เราช่วง 1H66 โต 2.2%YoY ส่งผลให้ สศช. ปรับประมาณการเศรษฐกิจในปี 66 ลง จากกรอบ 2.7 –3.7% เหลือ 2.5 –3.0%
ส่วนประกอบเศรษฐกิจไทยใน 2Q66 ที่ขยายตัวได้น้อยลง หลักๆ มาจากหดตัวในการ ใช้จ่ายภาครัฐ (-4.3%YoY) การลงทุนภาครัฐ (-1.1%YoY) การนำเข้า (-2.4%) รวมถึงหลายปัจจัยเติบโตได้ช้าลง อาทิ การลงทุนเอกชน และการส่งออก อย่างไรก็ ตาม การบริโภคภาคเอกชนยังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่เร่งตัวขึ้นกว่า +7.8%YoY ขณะที่ในช่วง 2H66 สศช. คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวได้จากภาคการบริโภค และภาคบริการเป็นหลัก
สรุป ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อาจอยู่ในระดับสูงยาวนาน บวกกับปัญหาในภาคอสังหาฯ ของ จีน ล้วยเป็นปัจจัยเร่งที่เพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจ Recession เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ บ้านเราอาจได้รับผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามในช่วง 2H66 เชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังขยายตัวได้จากภาคการบริโภคและภาคการท่องเที่ยว แนะนำ หุ้นที่เกี่ยวข้อง อาทิ BCJ COM7 JMART JMT ERW AOT (BK:AOT)
วันนี้คาดได้ตัวนายกฯ หนุนเศรษฐกิจโตตามนโยบายของพรรค แกนนำ
วานนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคการเมืองอื่นๆ อีก 11 พรรคแถลงร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยไม่มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วม รัฐบาล ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลได้มีการจัดสรรตำแหน่งในการบริหาร ประเทศไว้ ดังนี้
• พรรคเพื่อไทย รัฐมนตรีว่าการ 8 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย-รัฐมนตรีประจำ
สำนักนายกรัฐมนตรี 9 ตำแหน่ง
• พรรคภูมิใจไทย รัฐมนตรีว่าการ 4 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 4 ตำแหน่ง
• พรรคพลังประชารัฐ รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2 ตำแหน่ง
• พรรครวมไทยสร้างชาติ รัฐมนตรีว่าการ 2 กระทรวง และรัฐมนตรีช่วย 2
ตำแหน่ง
• พรรคชาติไทยพัฒนา รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
• พรรคประชาชาติ รัฐมนตรีว่าการ 1 กระทรวง
ทั้งนี้ได้มีมติร่วมกันเสนอชื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค เพื่อไทย ต่อรัฐสภา โดยจำนวนเสียงสนับสนุนล่าสุดมีอยู่ 314 เสียงซึ่งต้องหาเสียง สนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอีก 61 เสียง จึงจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้ โดยท่าทีของ สว. ล่าสุดมีโอกาสสูงที่ทำให้การโหวตนายกรอบที่ 3 มีโอกาสสำเร็จมาก ขึ้น (>375เสียง) กระบวนการหลังจากนั้น คือ แต่งตั้ง ครม. ชุดใหม่ช่วงปลายเดือน ส.ค. 66
ประเด็นดังกล่าว หากเป็นผลสำเร็จจริง ก็จะช่วยลดความกังวลเรื่องสุญญากาศทาง การเมืองและงบประมาณประจำปี 2567 ไปได้ระดับหนึ่ง และน่าจะทำให้ SET Index ตอบสนองเชิงบวกได้ ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้แถลงว่าจะยึดนโยบายที่หาเสียงไว้กับ ประชาชนเป็นนโยบายหลักในการบริหารประเทศ เช่น Digital Wallet, ที่ดินทำกิน, ขึ้น ค่าแรงขึ้นต่ำ 600 บาทภายในปี 2570, เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท, เกณฑ์ ทหารโดยสมัครใจ, เพิ่มราคาพืชผลเกษตร, แก้ปัญหาความขัดแย้งและสร้างสันติภาพ ที่ยั่งยืนในจังหวัดชายแดนภาคใต้, กัญชาทางการแพทย์และสุขภาพ และจะแก้ รัฐธรรมนูญ ซึ่งกลุ่มหุ้นที่คาดว่าสามารถจะเก็งกำไรได้จากประเด็นดังกล่าว คือ หุ้น กลุ่มค้าปลีก เช่าซื้อ อสังหาฯ ท่องเที่ยว อาทิ CRC CPALL (BK:CPALL) BJC TIDLOR MTC SAWAD LH SC SIRI PR9 CENTEL ERW MINT เป็นต้น
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินการจัดตั้งรัฐบาลมีโอกาสราบรื่น และรู้ตัวนายกฯในวันนี้ หนุน SET Index ช่วงสั้นกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้านแรกที่ระดับ 1545 จุด ขณะที่หลังจาก จัดตั้งรัฐบาลและได้ชุด ครม.เรียบร้อย คาดเห็นการผลักดันนโยบายของแต่ละพรรค เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไป
ความคืบหน้าทางการเมือง ถือเป็น Sentiment ช่วยพยุงตลาด
ตลาดหุ้นสหรัฐยังปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 3 ยังเห็นความเสี่ยงจากการ เคลื่อนย้ายเม็ดเงินสู่สินทรัพย์ปลอดภัยอยู่ หลังจาก Bond Yield 10 ปี สหรัฐ ล่าสุดขึ้น ทำจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี อยู่ที่ 4.33% (ในช่วง 1 เดือน ปรับตัวขึ้นมา 42 bps.) ซึ่งตาม กลไกจะกดดันให้นักลงทุนซื้อขายหุ้นสหรัฐใน P/E ที่ถูกลง ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อ ตลาดหุ้นโลก
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยได้รับแรงกดดันจากประเด็นดังกล่าวน้อยกว่า จาก Bond Yield 10 ปีไทยที่ต่ำกว่าสหรัฐ อยู่ที่ 2.74% และยังขยับขึ้นมาช้า โดยใน 1 เดือน เพิ่มขึ้นมาเพียง 14 bps.จึงทำให้แรงกดดันจากการโยกย้ายเม็ดเงินเข้าสินทรัพย์ปลอดภัยน้อยกว่า
ส่วนแรงสนับสนุนตลาดน่าจะเป็นความคาดหวังการเปลี่ยนผ่านทางการเมือง และการ ปั้มหัวใจเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นขึ้น อีกทั้งหากเปรียบเทียบกับ Timeline โหวตได้นายกฯ ในปี 2562 ผ่าน หลังจากนั้น 1 เดือน SET Index ขยับขึ้นได้ 5 –6%น่าจะเป็น Sentiment ที่ดีต่อตลาดหุ้นปัจจุบัน หากวันนี้โหวตนายกฯ ผ่านได้
สำหรับวันนี้ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1520 – 1545 จุด ส่วน Top pick เลือก BJC, TRUE, ERW
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities