ตลาดหุ้นโลกยังเผชิญกับความผันผวน โดยแรงกดดันหลักๆ เกิดจาก Bond Yield 10 ปี ของ สหรัฐ ขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 16 ปี ที่ 4.3% และยังปรับตัวขึ้นมา เร็วหรือเกินกว่า 50 bps. ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ปัจจัยดังกล่าวกดดันให้บริษัท จดทะเบียนต้องแบกรับต้นทุนจากเงินกู้ที่สูงขึ้น และตามกลไก MEYG ยังจะกดดัน ให้ตลาดหุ้นสหรัฐถูกซื้อขายบน P/E ที่ถูกลง หรือมีโอกาสย่อตัวลง 8% ถึง 11% ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อภาพรวมตลาดหุ้นโลก
อย่างไรก็ตามสำหรับตลาดหุ้นไทย ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่ามีโอกาสผันผวนน้อยกว่า เนื่องจาก Bond Yield 10 ปีไม่ได้เร่งขึ้นแรงและยังต่ำกว่าสหรัฐมาก อยู่ที่ 2.7% อีกทั้งยังคาดหวังตลาดหุ้นมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่สูงขึ้น จากความคาดหวัง ใกล้ได้รัฐบาลใหม่ที่มีการโหวตในวันที่ 22 ส.ค. นำทีมโดยพรรคเพื่อไทย ซึ่งมี นโยบายผลักดัน GDP ไทยให้ขึ้นไปอยู่ที่ 5% ต่อปีและต่อเนื่องด้วยวันที่ 23 –25 ส.ค. มีการจัดงาน Thailand Focus พอดี จึงแนะนำเก็งกำไรหุ้นที่ได้ Sentiment บวกทางการเมือง และเข้าร่วมงาน Thailand Focus อย่าง TPIPL STEC SIRI SCCC TRUE AMATA CPALL (BK:CPALL) CPN LH CRC BJC AOT (BK:AOT) ERW เป็นต้น
สำหรับวันนี้คาด SET Indexเคลื่อนไหวในกรอบ 1520–1535จุด หุ้น Top Pick แนะนำTPIPL, BJC และ TRUE
หลังได้รัฐบาลใหม่ หวังเศรษฐกิจไทยโตเกิน 5%
เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน โดยสำนักเศรษฐกิจ ต่างๆ ประเมิน GDP Growth ของไทยปีนี้ คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย +3.5%YoY ทำให้ในช่วง ไตรมาสที่ 2-4 ของปีนี้ (3Q ที่เหลือของปีนี้) GDP จะต้องขยายตัวเฉลี่ย 3.8%YoY และ 2.3%QoQ
ในสัปดาห์หน้า (วันที่ 21 ส.ค.) สภาพัฒน์จะมีการรายงานตัวเลข GDP ของไทยช่วง 2Q66 โดย Bloomberg คาด GDP Growth ของไทย 2Q66 โต 3.0%YoY และ 1.3%QoQ ซึ่งจะช่วยหนุนให้ดัชนี GDP ของไทยดีดตัวขึ้นมามากกว่า 100 จุด สะท้อน ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวกลับมายืนเหนือช่วงก่อนโควิด ทั้งนี้ GDP ในระดับ ดังกล่าว ยังน้อยกว่าการขยายตัวเฉลี่ยที่ฝ่ายวิจัยฯ ได้ประเมินไว้ แต่อย่างไรก็ตาม หาก บ้านเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้เร็ว ก็ยังมีความหวังว่าเศรษฐกิจไทยจะยัง เดินหน้าต่อไปได้
กรณีที่พรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยจากนโนยายหาเสียงได้ตั้งเป้าไว้ ว่าจะดัน GDP Growth ของไทยโต 5%YoY ในปี 2570 ผ่านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ กระเป๋าตังค์ Digital 10,000 บาท, ค่าแรงงานขั้นต่ำ 600 บาท/วัน, ปริญญาตรี จบใหม่ ข้าราชการไทยทุกคน 25,000 บาท/เดือน, ลดค่าไฟ ค่าน้ำมัน ทันที, รถไฟฟ้า กรุงเทพฯ 20 บาทตลอดสาย ฯลฯ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยหนุนให้ภาคการบริโภคกลับมา คึกคัก และเมื่อพิจารณาจากข้อมูลในอดีต พบว่า GDP Growth ของไทยในช่วงที่โต เกิน 5% จะทำให้ผลตอบแทนของ SETIndex เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึง37%
สรุป เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากปีก่อน ขณะที่ในช่วง 2H66 หากบ้านเราสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เร็ว เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน เศรษฐกิจ โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน GDP Growth ของไทยในช่วงที่โตเกิน 5% จะช่วย หนุนให้ผลตอบแทนของ SET Index เพิ่มขึ้นเฉลี่ยสูงถึง 37%
ตลาดหุ้นไทยเป็นหลุมหลบภัยที่ดี หาหุ้นการเมืองเด่นเข้า ร่วมงาน Thailand Focusชอบ TPIPL BJC TRUE
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกส่วนใหญ่ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ ปรับตัวลง 7.2% จากความกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) จะคงอัตราดอกเบี้ยใน ระดับสูงเป็นเวลานานกว่าที่คาดไว้ บวกกับการเร่งตัวขึ้นของตราสารหนี้สหรัฐฯ โดย พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 4.31% และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 16 ปีหรือนับตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง 1 เดือนที่ผ่านมา ตราสารหนี้สหรัฐฯยกตัวขึ้นสูงเกือบทั้ง เส้นเกิน 50 bps. ซึ่งเหมือนกับตอบรับการขึ้นดอกเบี้ยถึง 2 รอบกว่าๆ ตามกลไกจะ กดดันให้ตลาดหุ้นซื้อขายบน P/E ที่ลดลง และกดดันดัชนีได้ถึง 9 - 11% บ่งบอกถึง ตลาดหุ้นสหรัฐฯยังมี Downsideจากประเด็นนี้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยสามารถ Outperform ได้ดี โดยปรับตัวลงเพียง 0.4% จาก ที่ตราสารหนี้ไทยยังไม่ปรับขึ้นเหมือนสหรัฐฯ โดย Bond Yield 10 ปีไทยยังต่ำเพียง 2.71% และเพิ่มขึ้นมา 14 bps. เท่านั้น แม้ผ่านการขึ้นดอกเบี้ยมา 25 bps. ในวันที่ 3 ส.ค.66 ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดการจัดตั้งรัฐบาล โดยแกนนำพรรคเพื่อไทยมีพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มเติม คือ พรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่ง ทำให้เสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลมีอยู่ 274 เสียง(ถือเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากแล้ว) ซึ่ง ต้องติดตามต่อว่าในช่วงเวลาที่เหลือ 3 วันว่าจะมีพรรคใดแถลงเข้าร่วมรัฐบาลอีก หรือไม่ ซึ่งวันที่ 22 ส.ค.66 จะเป็นวันโหวตนายกฯรอบ 3 ขณะที่ปัจจัยหนุนหลังจากนั้น คือ งาน Thailand Focus 2023 ที่จะจัดขึ้น 23-25 ส.ค.66 คาดทำให้การลงทุนของนัก ลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้น จากการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียน
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้ง เสร็จสิ้น และเป็นหุ้นที่เข้าร่วมงาน Thailand Focus 2023 แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มดังนี้
• กลุ่มบริษัทที่ไม่มา Thailand Focus 2022 แต่ปี2023 นี้มา TPIPL TASCO SIRI BCPG KTB SCCC STEC
• กลุ่มบริษัทมา Thailand Focus 2022 และปี 2023 มาต่อเนื่อง TRUE AMATA CPALL CPN LH CRC BJC AOT ERW
สรุป ตลาดหุ้นไทยถือเป็นหลุมหลบภัยจากปัจจัยภายนอกที่หมองหม่น โดยปัจจัยใน ประเทศยังเป็นปัจจัยหนุนให้ SET Index Outperform ต่อได้ โดยวันนี้มองกรอบการ เคลื่อนไหว 1520-1535 จุด ขณะที่ Toppicks เลือกหุ้นที่ได้ประโยชน์ทั้งจากการ เลือกตั้ง และมางาน Thailand Focus ปีนี้อย่าง BJC TRUE TPIPL
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities