ภาพใหญ่ของผลประกอบการงวด 2Q66 ที่ประกาศออกมา ถือว่าอยู่ในความ คาดหมายของตลาด โดยต่ำกว่า Bloomberg Consensus เพียง 2.39% และ หากมองทิศทางผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปี 2566 คาดว่าภาพใหญ่จะ เห็นการฟื้นตัว ส่วนประเด็นทางการเมือง จนถึงปัจจุบันเห็นพัฒนาการของการ จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งส่งสัญญาณว่าได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ส.เกิน 250 เสียง จากนี้ ไปรอดู 2 เรื่องสำคัญ เริ่มจากพรุ่งนี้ (16 ส.ค.66) ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า จะรับหรือไม่รับ คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการใช้ข้อบังคับที่ 41 ของ รัฐสภา สำหรับการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ถัดไป ก็จะการรอดูเสียงสนับสนุน จาก ส.ว. ว่าจะทำให้ได้คะแนนรวมเกิน 375 เสียงของรัฐสภาหรือไม่ ส่วนข้อมูล เศรษฐกิจโลกมีความกังวลเรื่องอสังหริมทรัพย์ของจีน เป็นแรงกดดันหลัก
คาดหมายว่า SET Index วันนี้ น่าจะผันผวนออกข้าง มีแนวต้านที่ 1545 จุด และ แนวรับที่ 1520 จุด สำหรับหุ้น Top Pick วันนี้เลือกหุ้นที่ผลประกอบการ 2Q66 เติบโตสวนตลาด และมีแนวโน้มที่เติบโตต่อเนื่อง ERW, PLANB และ SIRI
ตลาดหุ้นผันผวนจากความกังวลอสังหาฯ จีนทรุด ขณะที่ ประเด็นเรื่องดอกเบี้ยลดแรงกดดัน
วานนี้ตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียส่วนใหญ่ผันผวนหนัก เฉพาะอย่างยิ่งฮ่องกง -1.6% ญี่ปุ่น -1.3% ฟิลลิปปินส์ -1.2% จากกรณีของภาคอสังหาริมทรัพย์จีนส่งสัญญาณ มีปัญหาเพิ่มขึ้น และอาจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งตลาด อสังหาฯ ถือว่ามีความสำคัญต่อขับเคลื่อนศรษฐกิจจีนโดยมีสัดส่วนสูงถึง 30% โดย ล่าสุดบริษัทคันทรี การ์เดน (Country Garden) ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน อสังหาริมทรัพย์อันดับ 6 ของจีน ได้ระงับการซื้อขายหุ้นกู้ภายในประเทศ รวมถึงก่อน หน้านี้เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ได้ผิดนัดชำระหนี้ดอกเบี้ยหุ้นกู้อีกทั้งทางบริษัทฯ ยังคาดว่า ในช่วง 1H66 อาจขาดทุนราว 4.5–5.5 หมื่นล้านหยวน
ขณะที่ในฝั่งสหรัฐฯ มีการรายงานดัชนีเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิต (PPI) เดือน ก.ค. +0.8YoY สูงกว่าคาดที่ 0.7% YoY และเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 0.2% YoY ส่วน Core PPI ล่าสุดอยู่ที่ 2.4% YoY อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อ PPI ที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้ผู้ผลิตมีการ ผลักภาระตุ้นทุนมาสู่ผู้บริโภค และอาจทำให้ CPI ขยับตัวสูงขึ้น แต่การขยายตัวยัง ค่อนข้างห่างไกลจากจุดพีคในช่วงกลางปีก่อน จึงเชื่อว่าเงินเฟ้อในระยะถัดไปจะชะลอ ตัวลงอย่างอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทำให้Fed Watch Tool คาดว่า Fed จะยุติวงจรขา ขึ้นของดอกเบี้ยแล้ว และจะทำการลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงต้น 2Q24 เช่นเดียวมุมมอง ของ Goldman Sachs
ดอกเบี้ยโลกที่เข้าสู่ปลายทางวัฏจักรขาขึ้น ประกอบกับเงินเฟ้อไทยอยู่ในระดับต่ำสุด ทำให้ฝ่ายวิจัยฯ เชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยในบ้านเรามีโอกาสน้อยลง ส่งผลดีต่อให้ SET Index ให้มีแนวต้านทางพื้นฐานแรกอยู่ที่ 1542 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.7%) และแนว ต้านถัดไปอยู่ที่ 1610 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.5%)
สรุป ความกังวลจากภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนทรุด อาจกระทบต่อการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันให้ตลาดหุ้นในโซนเอเชียผันผวนในช่วงนี้ ขณะที่ ประเด็นเรื่องดอกเบี้ยได้เข้าใกล้สู่ปลายทางวัฏจักรขาขึ้น ส่งผลดีต่อให้ SET Index ให้มี แนวต้านทางพื้นฐานแรกอยู่ที่ 1542 จุด และแนวต้านถัดไปอยู่ที่ 1610 จุด
ความกังวลการผิดนัดชำระหนี้ของภาคอสังหาฯ จีน ส่งผลต่อ ภาคอสังหาฯไทย ด้วยหรือไม่
จากประเด็นความกังวลเกี่ยวกับภาคอสังหาฯ และการผิดชำระหุ้นกู้ในจีน เชื่อว่าไม่ กระทบต่อภาพรวมกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัยในไทยอย่างมีนัยฯ โดยเฉพาะ ผู้ประกอบการที่ฝ่ายวิจัยศึกษาทั้ง 15 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่ถือเป็นบริษัทรายกลาง-ใหญ่ พบว่ายังมีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี พิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินที่ใช้วัด ความเสี่ยงธุรกิจ คือ อัตราหนี้สินต่อทุนสุทธิ (Net Gearing) อยู่ในกรอบ 1-1.5 เท่า มาโดยตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา และล่าสุด ณ มี.ค. 2566 อยู่ที่ 0.95 เท่า โดยมีภาระหนี้ที่ มีดอกเบี้ยจ่ายรวม 3.68 แสนล้านบาท (รวม Perp Bond) และสัดส่วน 58% หรือ 2.12 แสนล้านบาท อยู่ในรูปแบบหุ้นกู้ระยะสั้นและระยะยาว หากพิจารณาถึงระยะเวลาชำระ คืนหุ้นกู้ภายใน 1 ปีข้างหน้า หากพิจารณาถึงระยะเวลาชำระคืนหุ้นกู้ภายใน 1 ปี ข้างหน้า มีทั้งสิ้น 6.2 หมื่นล้านบาท หลัก ๆ มาจาก LH, SPALI และ SIRI เฉลี่ยราว 8- 9 พันล้านบาท/บริษัท ซึ่งล้วนถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีสายป่านยาว เน้น ธุรกิจแนวราบที่มีกระแสเงินสดหมุนเร็ว และการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ดี จึงเชื่อว่าจะไม่มี ปัญหาในเรื่องสภาพคล่องแต่อย่างใด อย่างไรก็ตามต้องติดตามสถานการณ์ของ ANAN หลังมีประเด็นเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาตก่อสร้าง Aston Asoke ทำให้ต้อง เผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นทั้งจากดำเนินงานและเรื่องสภาพคล่อง (มีหุ้นกู้ครบ กำหนดชำระในอีก 1 ปีข้างหน้า ราว 9.4 พันล้านบาท)
คงแนะนำลงทุนเท่าตลาดสำหรับกลุ่มพัฒนาที่อยู่อาศัย เลือกหุ้นเด่นที่มีพอร์ต กระจายตัว และ Div Yield เกิน 5% ต่อปี ได้แก่ SIRI (FV@B2.32) และ AP (FV@B15.50)
ความคืบหน้าของพรรคร่วมรัฐบาล (PART 4) คาดเห็น SET Outperform ในอนาคต
วันศุกร์ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยประกาศว่าได้พรรคร่วมรัฐบาลเพิ่มเติม คือ พรรคพลัง ประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ จึงทำให้เสียงจากพรรคร่วมรัฐบาลล่าสุดอยู่ที่ 315 เสียง(เสียงพรรคพลังประชารัฐ 40 / รวมไทยสร้างชาติ 36) ซึ่งต้องหาเสียง สนับสนุนจากวุฒิสมาชิกอีก 61 เสียง จึงจะสามารถผ่านการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยได้โดยท่าทีของ สว. สะท้อนโอกาสที่ทำให้การโหวต นายกรอบที่ 3 มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น(>375 เสียง)
ขณะที่ประเด็นต้องติดตาม คือ การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ ว่าจะ พิจารณารับ หรือ ไม่รับ คำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดินที่เสนอให้วินิจฉัย การใช้ ข้อบังคับการประชุมที่ 41 ของรัฐสภา ในการโหวตเลือกนายกฯ ซึ่งหากศาลไม่มีคำสั่ง ห้ามใดๆ หรือ ไม่รับไว้พิจารณาใดๆ ก็น่าจะทำให้กระบวนการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เดินหน้าไปด้วยดี โดยตลาดคาดว่าวันโหวตนายกจะอยู่ในช่วง 18-22 ส.ค.66 ประเด็น ดังกล่าว ทำให้ในช่วงสั้นสร้าง Sentiment เชิงบวกต่อ SET Index ทั้งในมุมของ Flow ต่างชาติ และมูลค่าการซื้อขายให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะที่ระยะกลาง-ยาว หลังได้ นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลชุดใหม่ที่มีเสถียรภาพ คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นของ ผู้บริโภค จะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง หลังล่าสุดเดือน ก.ค.66 ปรับตัวลงครั้ง แรกในรอบ 14 เดือนจาก 56.7 จุด สู่ระดับ 55.6 จุด
สรุป ภาพการเมือง กรณีที่พรรคพลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ส่งสัญญาณ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้แกนนำ คือ พรรคเพื่อไทย ทำให้การโหวต นายกรัฐมนตรีรอบที่ กำลังจะเกิดขึ้น มีโอกาสสำเร็จสูง ดังนั้น SET Index มีโอกาส Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆช่วงสั้น โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index 1520-1545 จุด
หวัง Fund Flow หนุนหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น
ในช่วงที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงรายงานงบ 2Q66 ออกมาแล้ว 459 บริษัท ส่วนใหญ่กำไรออกมาไม่ต่ำคาดแรงเหมือนช่วงที่ผ่านๆ มา โดยต่ำคาดเพียง -2.39%
ขณะที่ Fund Flow ในเดือนนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นไทยน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ใน ภูมิภาค โดยถูกต่างชาติขายสุทธิเพียง -235 ล้านเหรียญ ซึ่งน้อยกว่า ทั้งตลาดหุ้น ไต้หวันที่ถูกขายสุทธิ -3.0 พันล้านเหรียญ, เกาหลีใต้ -909 ล้านเหรียญ และ อินโดนีเซีย -817 ล้านเหรียญ
ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของเดือน ส.ค. หากมีการโหวตได้นายกฯ คนใหม่ได้เร็ว ก่อน 22 ส.ค. 66 ในวันถัดมา 23 - 25 ส.ค. 66 จะมีการจัดงาน Thailand Focus พอดี น่าจะ ได้รับความสนใจ และเป็นแรงจูงใจในการลงทุนสำหรับนักลงทุนต่างมากขึ้น หนุนให้ Fund Flow มีโอกาสไหลกลับเข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไปได้
สรุปทิศทางการเมืองใกล้เข้าสู่จุดเปลี่ยน และคาดหวังการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อจากนี้ คาดช่วยหนุนกำไรบริษัทจดทะเบียนค่อยๆ ฟื้นขึ้น ค่าเงินบาทเริ่มชะลอการอ่อนค่า ซึ่ง น่าจะหนุนให้ Fund Flow กลับมาไหลเข้าตลาดหุ้นไทยได้ หลังจากขายสุทธิต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีเกิน 1.2 แสนล้านบาท (ytd)
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities