ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.ค.66 ของบ้านเราออกมาอยู่ทึ่ 0.38%YoY ซึ่งต่ำกว่า Consensus คาดที่ 0.6% ส่วนแนวโน้มคาดว่ายังน่าจะเห็นเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับต่ำ กว่า 1% ต่อเนื่อง ภาวะดังกล่าวน่าจะทำให้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายมี โอกาสทรงตัวบริเวณ 2.25% ส่วนประเด็นเรื่องการเมือง วานนี้มีการแถลงข่าว ร่วมระหว่าง พรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย ซึ่งมี ส.ส. รวม 212 เสียง หลังจากนั้จะมี การหาเสียงสนับสนุนเพิ่มจากทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ทั้งนี้ภายใต้ข้อตกลงของทั้ง 2 พรรค หมายความว่าหากเดินหน้าต่อไป พรรคก้าวไกล ก็จะกลายเป็นพรรคฝ่าย ค้านในสภาฯ อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าสถานการณ์การเมืองในบ้านเรายังมีโอกาส ที่จะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา และน่าจะเป็นตัวแปรหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นผันผวน อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือการจัดทำดัชนีเพิ่ม คือ SET50FF และ SET100FF ซึ่ง น่าจะทำให้หุ้นที่มีFree Float สูง ถูก Weight น้ำหนักเพิ่มขึ้น ใช้ต้นปี 2567
คาดว่า SET Index น่าจะผันผวนต่อเนื่องโดยมี 1545 จุด เป็นแนวต้านสำคัญ และ 1520 เป็นแนวรับ สำหรับหุ้น Top Pickวันนี้เลือก DOHOME, KBANK (BK:KBANK) และ SIRI
เงินเฟ้อ & เงินเฟ้อพื้นฐานไทย ก.ค. ออกมาต่ำกว่าคาด
กระทรวงพาณิชย์รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (CPI) เดือน ก.ค. + 0.38%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.6%YoY) และ -0.01%MoM ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 7 เดือน แรก +2.19%AoA หลักๆ มาจากการชะลอตัวของสินค้าในหมวดอาหาร อาทิ เนื้อหมู กุ้ง ผักสด ฯลฯ ส่งผลให้ Core CPI ลดลงเหลือ + 0.86%YoY (ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 0.9%YoY และเดือนก่อนที่ 1.32%YoY) และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 18 เดือน
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าเงินเฟ้อไทยเดือน ส.ค. มีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อยใน กรอบแคบ ๆ จากฐานราคาปี 2565 อยู่ในระดับสูง รวมถึงราคาน้ำมันที่ขยับขึ้น แต่ คาดทั้งปีนี้เงินเฟ้อเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1.5%ทำให้ในช่วง 4-5 เดือนที่เหลือของปีนี้ประเมินว่า เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่เกิน 1%
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินเงินเฟ้อทั่วไปยังอยู่ในทิศทางที่ดีเดือน มิ.ย. อยู่ในระดับต่ำสุดเป็น อันดับ 7 ของโลก และแม้ในช่วงเดือน ก.ค. ราคาพลังงานจะเร่งตัวขึ้นมาเร็ว แต่ระดับ CPI ถือว่าทรงตัว ส่งสัญญาณให้โอกาสขึ้นดอกเบี้ยน้อยลง ส่งผลดีต่อให้ SET Index ให้มีแนวต้านทางพื้นฐานแรกอยู่ที่ 1542 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.7%) และแนวต้าน ถัดไปอยู่ที่ 1610 จุด (ภายใต้ MEYG = 3.5%)
สรุป เงินเฟ้อไทยที่อยู่ในระดับต่ำ และแม้ในระยะถัดไปจะมีโอกาสขยับขึ้นจากความเสี่ยง ต่างๆ อาทิ ราคาน้ำมันผันผวน อากาศแปรปรวน เศรษฐกิจโลกชะลอตัว ฯลฯ แต่ยัง เชื่อว่าเงินเฟ้อในบ้านเราจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 1-3% หนุนให้โอกาสขึ้น ดอกเบี้ยน้อยลง และลดแรงกดดันต่อ SET Index แนะนำหุ้นเด่นสุดรับเงินฟ้อชะลอตัว คือ MTC SAWAD CRC CPN BJC ADVANC INTUCH SIRI
พรรคเพื่อไทย แถลงจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคพภูมิใจไทย
วานนี้ SET Index ดีดตัวขึ้นในช่วงบ่ายราว 12 จุดมาปิดที่ระดับ 1532.51 จุด หลัง พรรคเพื่อไทยแถลงว่าจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคภูมิใจไทย ด้วยเสียงตั้งต้น 212 เสียง คือ เพื่อไทย 141 เสียง และภูมิใจไทย 71 เสียง อยู่ภายใต้หลักการสำคัญ 3 ประการ ดังนี้
1. ไม่แตะต้องมาตรา 112
2. ไม่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย
3. ต้องไม่มีพรรคก้าวไกลอยู่ร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล
ขณะที่ระยะถัดไปเป็นหน้าที่ของทั้ง 2 พรรคข้างต้นที่จะต้องหาเสียงสนับสนุนจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ โดยพรรค อื่นที่คาดว่าจะถูกเชิญชวนมาร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พัฒนา พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า เป็นต้น ดังนั้น คาดทำให้มีเสียง รวมอยู่ 263 เสียง และต้องการเสียงจาก สส. และ สว. อีกอย่างน้อย 111 เสียง ถึงจะ จัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ
ซึ่งประเด็นที่น่าติดตาม คือ ศาลรัฐธรรมนูญ จะพิจารณาสั่งรับ หรือ ไม่รับ คำร้องปม เสนอชื่อ “พิธา” ซ้ำ ผิดญัตติหรือไม่ นัดประชุม 16 ส.ค.66 ซึ่งทำให้ประธานสภาฯ ยัง เลื่อนการโหวตนายกฯรอบ 3 ออกไปโดยไม่มีกำหนด (หลัง 16 ส.ค.66) ประเด็น ดังกล่าว ทำให้มีโอกาสจะเห็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าขึ้นอย่างน้อย 2 สัปดาห์จากเดิม และเกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองในช่วงสั้น ทำให้ช่วงเวลาที่เร็วที่สุดที่จะได้รัฐบาล ชุดใหม่ คาดอยู่ในช่วงเดือน ก.ย.66 ซึ่งเป็นเวลาที่ใกล้เคียงการพิจารณางบประมาณ รายจ่ายปี 2567 ซึ่งจะถูกเบิกจ่ายช่วง 1 ต.ค.66 – 30 ก.ย.67 ทำให้ช่วงเวลาที่จะใช้ พิจารณางบประมาณอาจสั้นลง และใช้ประโยชน์ไม่ได้เท่าที่ควร ช่วงเวลาขณะนี้จึงทำให้ SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบแคบ และมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบางลงได้
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่มีความผันผวนอยู่บ้าง จากที่ยังไม่ทราบพรรคร่วมรัฐบาลที่ชัดเจน และจะจั้งตั้งรัฐบาลได้หรือไม่ บวกกับศาล รัฐธรรมนูญจะพิจารณาร้องปมเสนอชื่อ “พิธา” ซ้ำ ผิดญัตติหรือไม่ ดังนั้นช่วงเวลาดังกล่าวคาดเห็น Fund Flow ต่างชาติยังไม่ซื้อสุทธิตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยฯ และมี โอกาสเห็นตลาดหุ้นไทยแกว่งผันผวนในกรอบแคบช่วง 2 สัปดาห์นี้ โดยวันนี้มองกรอบ การเคลื่อนไหวของ SET Index 1520-1545 จุด
วิเคราะห์หุ้นไหนได้ประโยชน์ กรณีตลาดเพิ่มดัชนีใหม่SET50FF และ SET100FF
ตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมเพิ่มดัชนีใหม่ SET50FF และ SET100FFเป็นทางเลือกการ ใช้งานสำหรับผู้เกี่ยวข้องเพิมเติมจากดัชนี SET50 และ SET100 ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่ง เผยแพร่หลักเกณฑ์ในระยะถัดไป และคาดว่าจะมีผลได้ในวันที่ 1 ม.ค. 67
เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ ประเมินดัชนีใหม่ SET50FFและ SET100FF น่าจะมีแนวโน้ม หรือ Sentiment ต่อตลาดและหุ้นต่างๆ ดังน
1. ดัชนีใหม่ ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในอนาคต ช่วยลดความผันผวนในดัชนีเก่าจาก หุ้นที่มีสัดส่วนรายย่อยต่ำ หนุนให้กองทุนทั้งไทยและต่างประเทศอาจนำมาเป็น Benchmark วัดผลการดำเนินงานของกองทุนใหม่ๆ เพิ่มเติม
2. สภาพคล่องของดัชนีใหม่มีโอกาสสูงขึ้น เบื้องต้นฝ่ายวิจัยฯ คำนวณ Turnover ของ SET100 ในปีนี้ ได้ 70.1% ต่อปี แต่ถ้าแปลงเป็นดัชนีใหม่จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 80.2%
3. Sector ที่มีโอกาสได้สัดส่วนเพิ่มขึ้นจากปกติ เด่นๆ คือ BANK, HELTH, CONMAT, TOURISM, CONS มีโอกาสที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นสูงเกิน 40% จาก น้ำหนักดัชนีเดิม รายละเอียด Sector อื่นๆ
4. หุ้นที่มี Freefloat ต่ำจะไม่ถูกกดดันเหมือนความกังวลที่ผ่านๆมา เพราะจะไม่ถูก กำจัดออกจาก SET50 และ SET100 อาทิ หุ้นใหญ่ที่มี Freefloat น้อย เริ่มจาก DELTA 22.4%, OR 23.7%, GPSC 24.8%, AWC 25.0%, GULF 26.1%, INTUCH 28.4% และ AOT (BK:AOT) 30.0% เป็นต้น
5. หุ้นที่มี Freefloat สูงกว่าค่าเฉลี่ยราว 48% จะได้รับ Sentiment เชิงบวก เพราะจะ มีน้ำหนักในดัชนีใหม่สูงมากกว่าดัชนีเดิมพอสมควร อาทิ BBL มี Freefloat สูงสุด 98.6% มีโอกาสถูกเพิ่มน้ำหนักจาก 2.2% ใน SET100 มาเป็น 4.8%ใน SET100FF หรือเพิ่มขึ้นกว่า 117% จากสัดส่วนเดิม ตามมาด้วย KKP มี Freefloat92.6%, BANPU 90.8%, KBANK 79.7%, SCB 76.4%, CENTEL 76.3%, TCAP 74.5%, TISCO 73.8%, AMATA 72.1%, SIRI 71.2%, AP 70.0%, TU 69.9%
สรุป การเพิ่มดัชนีใหม่ที่มีการนำ Freefloat เข้ามาปรับน้ำหนักในดัชนี ถือว่าเป็นการ สร้างสีสัน และทางเลือกในการลงทุนใหม่ๆ ที่ดี อีกทั้งภาพรวมยังมีโอกาสเห็นสภาพ คล่องที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม กลยุทธ์แนะนำหุ้นได้ Sentiment เชิงบวกจากประเด็น ดังกล่าว ชอบ BBL, BANPU, KBANK, SCB, CENTEL, SIRI, TU, CPN, STEC
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities