ทิศทางการเมืองชัดเจนขึ้นตามลำดับ โดยเพื่อไทย ประกาศแยกตัวออกจาก 8 พรรค MOU มาจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งวันนี้จะมีการแถลงว่าจะมีพรรคอะไรมาร่วม รัฐบาลบ้าง อย่างไรก็ตามในทางปฎิบัติการเกินในแต่ละขั้นตอนถือว่าไม่ง่าย และ ยังต้อติดตามใกล้ชิดว่าสุดท้ายการประชุมรัฐสภา โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พรุ่งนี้ ผลจะเป็นอย่างไร อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องติดตามวันนี้ คือกรณีที่ Fitch ปรับ ลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงจาก AAA เป็น AA+ ส่วนในบ้านเรา กนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% มาอยู่ที่ 2.25% และเริ่มส่งสัญญาณการชะลอ ปรับขึ้นดอกเบี้ยชัดเจนขึ้น ผลจากทั้ง 2 กรณี(Fitch และ กนง.) จะส่งผลทำให้ ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น ซึ่งก็หมายถึง Discount Rate ในการทำ Valuation สูงขึ้น ขณะที่ภาพใหญ่ของตลาดหุ้น ก็จะเห็น Market Earning Yield Gapแคบลง ซึ่งผลดังกล่าวเป็นการสร้างแรงกดดันต่อราคาหุ้น
เป็นไปได้ที่จะเห็น SET Index ปรับฐานอีกครั้งหลังจากปรับขึ้นมาแรง และมีแรง กดดันจากต้นทุนการเงินที่สูงขึ้น และ Sentiment ทางการเมืองในบ้านเรา คาด กรอบ 1535 –1565 จุด หุ้น Top Pick วันนี้เลือก BJC, JMTและ SCB
Cost of Fund เสี่ยงสูง เหตุ Fitch ลดเครดิตสหรัฐ บวกกับ กนง. ขึ้นดอกเบี้ย
วานนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรง โดยมี Sentiment เชิงลบจากกรณีที่ Fitch Ratings ได้ปรับลดเครดิตสากลระยะยาวสกุลเงินต่างประเทศ (Long-Term ForeignCurrency Issuer Default Rating) ของสหรัฐลงสู่ระดับ AA+ จากระดับ AAA ซึ่งถือว่า เป็นการ Downgrade อันดับความน่าเชื่อถือลงมาหลายระดับเมื่อเทียบกับในอดีต จึง กระทบกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างมีนัยฯ โดยมีสาเหตุหลักๆ ได้แก่
• สหรัฐมียอดขาดดุลงบประมาณที่สูง
• สถานะการคลังของสหรัฐมีแนวโน้มที่จะถดถอยลงในช่วง 3 ปีข้างหน้า
• อัตราส่วนหนี้สินต่อ GDP ของสหรัฐยังสูงกว่าช่วงก่อนโควิดระบาด และคาด
ว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นในอนาคต
ส่วนบ้านเราวานนี้ กนง. มีมติเอกฉันท์ขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เป็น 2.25% สอดคล้อง เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งเน้นรักษาเสียรภาพการเงินระยะยาวให้เข้าสู่ สมดุล หลังดอกเบี้ยอยู่ระดับต่ำเป็นเวลานาน และต้องการควบคุมเงินเฟ้อไทยให้อยู่ใน กรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน รวมถึงรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า
ขณะที่การดำเนินโยบายการเงินในระยะถัดไป กนง. พร้อมจะปรับเปลี่ยนให้สอดคล้อง กับภาพรวมเศรษฐกิจ โดยจะใช้ข้อมูลที่เข้ามาในระหว่างนี้ประกอบการพิจารณา อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตุที่บ่งชี้ว่า กนง. ส่งสัญญาณชะลอการขึ้นดอกเบี้ย ดังนี้
• กนง. ยอมรับว่าดอกเบี้ยเข้าใกล้โซน Natural มากขึ้นเรื่อยๆ
• Real Interest Rate ของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ +2.03% ซึ่งใกล้เคียงกับ สหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับ +2.5%
• รายงานผลการประชุม กนง. ครั้งที่ 4/2566 มี Wording ที่เปลี่ยนไปจากครั้งที่ 1/2566 -3/2566 โดยก่อนหน้านี้ช่วงสรุปได้กล่าวลักษณะคล้ายกันว่า “เห็น ควรให้ปรับขึ้นดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับที่เหมาะสมกับการขยายตัวของเศรษฐกิจ อย่างค่อยเป็นค่อยไป” แต่ล่าสุดมีความแตกต่างออกไป คือ “นโยบายการเงิน ยังควรดูแลให้อยู่ในกรอบเป้าหมายอย่างยั่งยืน ควบคู่กับให้ความสำคัญกับ เสถียรภาพเศรษฐกิจระยะยาว”
สรุป จากประเด็นการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐลงเป็น High Grade (เดิมเป็น Prime) บวกกับ กนง. ยังคงเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ 2.25% ล้วนเป็น ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงด้านตันทุนทางการเงิน (Cost of Fund) จนอาจทำกำไรของ บริษัทจดทะเบียนลดลงได้ ซึ่งถือป็นแรงกดดันต่อตลาดหุ้นโลกในช่วงนี้
พรรคเพื่อไทย แถลงแยกตัวออกมาจาก 8 พรรค Mou เพื่อ จัดตั้งรัฐบาลใหม่
วานนี้แถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยมีใจความสำคัญ 6 ข้อ ดังนี้
1. ยกเลิก MOU 8 พรรคเดิม และ ยกเลิก MOU 2 ฉบับกับพรรคก้าวไกล
2. เสนอให้พรรคก้าวไกลถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลเป็นฝ่ายค้าน
3. แกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเสนอ นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกฯ
4. ยืนยันยังไม่แก้ไขและยกเลิก มาตรา 112
5. 5.แก้ไขรัฐธรรมนูญเดิมปี 2560 ยุบสภา และจัดเลือกตั้งใหม่ภายใต้
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 2 ปี
6. เสนอนโยบายอื่นๆเข้าสภา อาทิสมรสเท่าเทียม สุราก้าวหน้า ปฏิรูปกองทัพ
ฯลฯ
พร้อมกันนั้นพรรคเพื่อไทยรายงานว่าเตรียมดึงพรรคร่วมรัฐบาลกลุ่มใหม่ ซึ่งจะเสนอ ต่อสื่อมวลชนในวันนี้(พรรคหลักๆที่คาดร่วมรัฐบาล อาทิ พรรคภูมิใจไทย พรรค ประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคประชาชาติ เป็นต้น) ซึ่งคาดว่าจะได้เสียง สนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของสภา หรือ 375 เสียงขึ้นไปในการโหวตนายกฯวันที่ 4 ส.ค.66 ประเด็นดังกล่าว การจัดตั้งรัฐบาลดังกล่าวหากเป็นผลสำเร็จจริง ก็จะช่วยลดความ กังวลเรื่องสุญญากาศทางการเมือง และ น่าจะทำให้ SET Index น่าจะตอบสนองเชิง บวก ส่วนประเด็นการเก็งกำไร ก็อาจเกิดขึ้นกับหุ้นที่น่าจะได้ประโยชน์จากแนวทางการ กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาลใหม่(นโยบาย หลักๆของพรรคร่วมรัฐบาล อาทิ เติมเงินกระเป๋าดิจิทัล 10,000 บาท, ค่าแรง 600 บาท / เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท,รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย, เปิดศูนย์ฟอกไตเทียมทุก อำเภอ, พักหนี้ 3 ปี หยุดต้น-หยุดดอก,ธนาคารหมู่บ้านแห่งละ 2 ล้านบาท,ชาวนารับ 3 หมื่นบาทต่อครัวเรือน)
ดังนั้น หุ้นที่เคยร่วงแรงจากความกังวลเปลี่ยนผ่านทางการเมืองก่อนหน้านี้มีโอกาส ดีดตัวขึ้นมาได้ แนะนำหุ้นเด่น 5 กลุ่ม คือ (1) หุ้นต้นทุนค่าแรง รายได้อิงโครงการภาครัฐ STEC, CK (2) หุ้นหวังพึ่งกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม MTC CBG, JMT, SAWAD, SNNP (3) หุ้นทุนผูกขาด TRUE, CRC, CPN, CPALL (BK:CPALL), BJC (4) หุ้นได้รับผลกระทบ ปรับสูตรค่าไฟฟ้า GULF, BGRIM, GPSC, PTTGC (5) หุ้นรับกระแสข่าวดังกล่าว SIRI, SC, ADVANC, PR9, SCB
อย่างไรก็ตามต้องรอดูผลในทางปฎิบัติว่าจะ กระบวนการต่างๆ ระราบรื่นอย่างที่ คาดการณ์หรือ ไม่ เฉพาะอย่างยิ่ง ในส่วนบทบาทของ วุฒิสภา และไกลไปกว่านั้น ต้อง ดูท่าทีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่อาจมีการชุมนุมทางการเมือง เกิดขึ้นได้
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองมีสัญญาณที่ดีขึ้นหลังเห็นความชัดเจนและ เป็นไปได้ของการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้ความกังวลการเกิดสุญญากาศทางการเมือง น้อยลง ซึ่งวันนี้ต้องดูการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้แกนนำพรรคเพื่อไทย ว่าจะมีพรรคใด ร่วมรัฐบาลบ้าง และศาลรัฐธรรมนูญจะพิจาณาคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี ข้อบังคับสภา ม.41 ว่าการเสนอชื่อโหวตนายกซ้ำเป็นญัตติหรือไม่ โดยวันนี้มองกรอบ การเคลื่อนไหวของ SET Index 1535-1565 จุด
SET เผชิญแรงกดดัน Fitch ลด Credit Rating และกนง. ขึ้น ดอกเบี้ย แต่ยังแข็งแรงกว่าตลาดหุ้นอื่นๆ
ตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลก เผชิญแรงกดดันจาก ต้นทุนทางการเงิน หรือ Cost of Fund ของบริษัทเอกชนมีโอกาสสูงขึ้น ซึ่งในเชิงของการทำ Valuation รายบริษัท ก็จะ ทำให้Discount Rate ปรับเพิ่มขึ้นกดดันมูลค่ากิจการให้ลดลง และในเชิงภาพรวมของ ตลาดหุ้น ก็จะทำให้Market Earning Yield Gap ของตลาดหุ้นต่างๆ ลดลง กดด้น เป้าหมาย ดัชนี ให้ลดลงเช่นกัน
• ประเด็น Fitch ปรับลดระดับ Credit Rating สหรัฐจาก AAA เหลือ AA+ ถือ เป็น Sentiment เชิงลบ ส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นไทยผันผวนในช่วง นี้
• มีประเด็นกนง. ปรับขึ้นดอกเบี้ยในวานนี้ จาก 2% เป็น 2.25%กดดันตลาดหุ้น ไทยอยู่ 2 มุม
• ต้นทุนทางการเงินบริษัทจดทะเบียนไทยสูงขึ้น กดดันกำไรลดลง ซึ่ง EPS66F ที่ลดลงทุกๆ 1% กดดันเป้าหมาย SET ลดลง15 จุด
• MEYG แคบลง หรือตลาดหุ้นไทยมีโอกาสซื้อขายบน P/E ที่ลดลง ซึ่ง การขึ้นดอกเบี้ย 0.25% กดดันเป้าหมาย SET ลดลง 68 จุด
ในระยะสั้น SET Index เผชิญ Sentiment เชิงลบจาก Fitch ลดระดับ Credit Rating สหรัฐ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นประเทศอื่นๆ และกนง. ลดดอกเบี้ย แต่ประเด็นการเมืองที่ ใกล้จะได้รัฐบาลใหม่ บวกกับความคาดหวังจะเห็นการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่ เหลือของปีช่วยให้ตลาดหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นได้ดีกว่าประเทศอืนๆ ในสัปดาห์นี้ (WTD)
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1535 – 1565 จุด สำหรับ Top pick เลือกหุ้น Election Play อย่าง BJC, SCB, JMT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities