สถานการณ์การเมืองช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องถือว่า ชัดเจนขึ้นระดับหนึ่ง โดยยังเป็นไปตาม 1 ใน 2 ฉากทัศน์ที่เราได้ประเมินไว้ กล่าวคือเพื่อไทยเป็นแกนนำ ในการจัดตั้งรัฐบาลที่มีโอกาสโน้มเอียงไปทางด้านการสลับขั้วนอก 8 พรรค MOU มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามต้องรอประเมินกระแสความเคลื่อนไหวของการ ชุมนุมนอกสภาว่าจะมีพัฒนาการอย่างไร เพราะถือเป็นปัจจัยที่คาดการณ์ได้ ยากซึ่งภาวะดังกล่าว ประกอบกับการต้องรอดูการประชุมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือก นายกรัฐมนตรีวันที่ 27 ก.ค.66 จึงคาดว่า SET Index จะยังไม่ผ่านระดับ 1545 จุดในสัปดาห์นี้ได้ ส่วนอีกปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประชุมธนาคารกลาง 3 แห่ง ได้แก่ Fed, ECB และ BOJ โดยคาดว่า Fed และ ECB น่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่ น่าจะเป็นช่วงปลายวัฎจักรขาขึ้น ส่วน BOJรอบนี้คาดคง แต่อาจขึ้นในระยะถ้ดไป
สถานการณ์การเมิองที่ร้อนแรงขึ้นตามลำดับ และเข้าใกล้จุดเปลี่ยน น่าจะสร้าง แรงกดดันให้ SET Index ยังไม่สามารถผ่าน 1545 จุดขึ้นไปได้ ส่วนแนวรับอยู่ที่ 1520 จุด หุ้น Top Pick เลือก BEM, CRC และ JMT
ติดตามการประชุมธนาคารกลาง ส่วนความเสี่ยงเงินเฟ้อยังไม่ หมดไป
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปิดตัวในกรอบแคบราว -0.4% ถึง + 0.7% เช่นเดียวกัน Dollar Index ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยเพียง 0.03% สู่ 101.1 จุด หลังไร้ปัจจัย ใหม่เข้ามาหนุน บวกกับรอติดตามทิศทางของดอกเบี้ย
โดยในสัปดาห์นี้ธนาคารกลางหลายแห่ง จะมีการจัดประชุมนโยบายการเงิน ดังนี้
1. การประชุม Fed ในวันที่ 26 ก.ค. Consensus คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.5% โดย Fed Watch Tool ให้น้ำหนักเกือบ 100% ขณะเดียวกันยัง เชื่อว่าการขึ้นดอกเบี้ยในรอบเดือน ก.ค. จะเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ หลังเงิน เฟ้อทยอยลดลงเข้าใกล้กรอบเป้าหมาย 2% ประกอบกับ Real Interest Rate ในปัจจุบันยังอยู่ในโซนบวกที่ 2.25% (ดอกเบี้ย 5.25% - เงินเฟ้อ 3%)
2. การประชุม ECB วันที่ 27 ก.ค. Consensus คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% สู่ ระดับ 4.25% และอาจมีแนวโน้มปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกราว 1 ครั้ง ในปีนี้ เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง บวกกับ Real Interest Rate ในปัจจุบัน ยัง ติดลบที่ -1.5% (ดอกเบี้ย 4.0% - เงินเฟ้อ 5.5%)
3. การประชุม BOJ วันที่ 28 ก.ค. Consensus คาดว่าจะยังดำเนินนโยบาย การเงินแบบผ่อนคลาย โดยคงดอกเบี้ยไว้ที่ -0.1% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามในระยะถัดไปอาจเห็น BOJ ขยับขึ้นดอกเบี้ย หลังเงินเฟ้อสูง ซึ่ง ในเดือน มิ.ย. อยู่ที่ +3.3%YoY
แม้เงินเฟ้อในประเทศต่างๆ จะปรับตัวลดลง แต่ประเด็นที่ต้องติดตามหลังจากนี้คือ ความเสี่ยงที่อาจกระตุ้นให้เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอีกครั้งจากสินค้า Commodities ทั้งราคา ข้าวสาลีในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังรัสเซียถอนตัวออกจากข้อตกลง ส่งออกธัญพืชของยูเครนในทะเลดำช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่มี โอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจาก OPEC+ ลดกำลังการผลิต (Supply ลด) บวกกับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะออกมาใช้ช่วงปลายเดือนนี้ (Demand เพิ่ม)
สรุป ในสัปดาห์นี้ Fed และ EBC คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แต่ทั้งนี้ Fed อาจขึ้น ดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายของปีนี้ ซึ่งยังต้องติดตามท่าทีการกล่าวสุนทรพจน์ของ ประธาน Fed ขณะเดียวกันอาจต้องระวังความเสี่ยงจากเงินเฟ้อที่มีโอกาสกลับมาเร่ง ตัวอีกครั้ง หลังราคาสินค้า Commodities มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ ประโยชน์ อาทิ TOP ,BCP, PTT (BK:PTT), PTTEP
ประเด็นการเมืองมีโอกาสเห็นการสลับขั้วมากขึ้น หนุนความ รุนแรงนอกสภากลับมาอีกครั้ง
มติ 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ได้ส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้ง รัฐบาล โดยการประชุมรัฐสภาวันที่ 27 ก.ค.66 ทางพรรคก้าวไกล จะเป็นผู้เสนอชื่อ Candidate นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย ต่อที่ประชุมร่วมรัฐสภา สำหรับแนวทา งาของพรรคเพื่อไทยในการที่จะได้มาซึ่งเสียงสนับสนุนเพื่อโหวตเลือกนายกฯ ต่อที่ ประชุมสภา มีแนวทางไว้ดังนี้
1. หาเสียงเพิ่มเติมจาก ส.ว. (ราว 63 เสียง) โดยในประเด็น มาตรา 112 ที่ ส.ว. ยัง
ติดเงื่อนไข พรรคเพื่อไทยนำเนื้อหามาหารือกับพรรคก้าวไกลและพรรคร่วม
จัดตั้งรัฐบาลทั้งหมด
2. หาเสียงเพิ่มเติมจาก ส.ส. พรรคอื่น (ราว 63 เสียง)
3. แนวทางอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ที่ประชุม 8 พรรคร่วมให้สิทธิกับพรรคเพื่อไทย
ดำเนินการต่อไป
ซึ่งหลังจากที่พรรคเพื่อไทยเดินสายหาเสียงเพิ่มเติมจาก ส.ส. พรรคอื่น(ขั้วรัฐบาลเดิม รอบที่แล้ว) อาทิ พรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนากล้า ได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างชัดเจนไปทางเดียวกันว่า หากยังเป็น 8 พรรคร่วมเดิมและมีพรรคก้าวไกลร่วมในการจัดตั้งรัฐบาล จะไม่สนับสนุนพรรคเพื่อ ไทยในการจัดตั้งรัฐบาล เนื่องด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองไม่ตรงกัน และไม่สนับสนุน การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 112 ผลการหารือดังกล่าว จะถูกนำเสนอต่อ 8 พรรค ร่วมรัฐบาล แต่ก็เป็นตัวที่ส่งสัญญาณว่าการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การดำเนินการของ พรรคเพื่อไทยมีโอกาสสูงที่จะเห็นการสลับขั้ว โดยมีพรรคร่วมรัฐบาลเดิมเข้ามาร่วม รัฐบาล หากเดินหน้าได้ตามแผน และโหวตเลือกนายกในการประชุมรัฐสภาวันที่ 27 .ค. 66 น่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ณ ช่วง ส.ค.66 ทั้งนี้ เรายังคง Scenario ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีดังนี้
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้ง 8 พรรค และสามารถจัดตั้ง
รัฐบาลได้สำเร็จ (โอกาสเกิด
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ (ขั้วรัฐบาลเดิมรอบที่แล้ว) และยัง
เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร์(โอกาสเกิด >50%)
ดังนั้น หากพรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลใหม่(โดยไม่มีพรรคก้าวไกล) และยัง เป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร์ จะต้องติดตามสถานการณ์การชุมนุม นองสภาที่อาจเกิดขึ้น ทั้งนี้สังเกตได้จากวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลังพรรคพลังประชารัฐ หารือพรรคเพื่อไทย เกี่ยวกับแนวทางของการจัดตั้งรัฐบาล แต่มีกลุ่มผู้ชุมนุม “ทะลุวัง ได้บุกเข้าพรรคเพื่อไทยเพื่อถามถึงจุดยืนของพรรค จึงทำให้ต้องยกเลิกการ แถลงการณ์ร่วมกัน ซึ่งประเด็นดังกล่าว มีโอกาสรุนแรงขึ้นในสัปดาห์นี้ เนื่องจากจะมี การโหวตนายกฯ วันที่ 27 ก.ค.66 คาดทำให้สัปดาห์นี้ Flow ต่างชาติมีโอกาสไหลออก ช่วงสั้น และหนุนให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าขึ้นไปทดสอบแนวต้านระดับ 34.70 บาท/เหรียญ ฯได้
สรุป หากได้ข้อสรุปโครงสร้างพรรคการเมื่องที่จะเข้ามาร่วมรัฐบาละ และมีการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรี ในการประชุมรัฐสภา 27 ก.ค. 66 ก็น่าจะได้รัฐบาลใหม่เข้ามา บริหารประเทศได้ในช่วงเดือน ส.ค. 66 อย่างไรก็ตามความเสี่ยงนอกสภาฯมีโอกาส ความรุนแรงและยืดเยื้อได้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดัน Flow ต่างชาติไหลออกช่วงสั้น และ กดดัน SET Index อีกครั้ง
หาหุ้นรับมือ 3 ปัจจัยสำคัญ ดอกเบี้ยโลก การเมืองไทย การ กระตุ้นเศรษฐกิจของจีน
สัปดาห์นี้นักลงทุนต้องเตรียมรับมือกับ 3 ปัจจัยสำคัญ ดอกเบี้ยโลก การเมืองไทย การกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยฝ่ายวิจัยทำการค้นหาหุ้น ในกลุ่มที่ราคา Laggard ตลาด (SET -8.4%ytd) แต่กลับได้ Sentiment เชิงบวกจากประเด็นดังกล่าว โดยมี รายละเอียดดังนี้
1.) การประชุมธนาคารสำคัญของโลก เริ่มจากคืนวันที่ 26 ก.ค. ตลาดคาด Fed ขึ้น ดอกเบี้ยครั้งสุดท้ายในปีนี้ 0.25% เป็น 5.25% ต่อมาวัน 27 ก.ค. ECB มีโอกาสขึ้น ดอกเบี้ย 0.25% เป็น 4.25% และวันที่ 28 ก.ค. BOJ อาจคงดอกเบี้ยที่ -0.1% คาดจะ สร้างความผันผวนต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้น แต่อาจจะเป็น Sentiment ที่ดีในระยะถัดไป จากโค้งท้าย Fed ขึ้นดอกเบี้ย แนะนำหุ้น Laggard ในกลุ่ม FIN -23.6%ytd (SAWAD, MTC, JMT) , PROP -11.4%ytd (SPALI, AP, SIRI, ORI)
2.) การโหวตนายกฯไทย ครั้งที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค. ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้ว่าอยู่ ในวิสัยที่สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น และน่าจะทำให้ Downdside ของ SET Index จำกัด ภายใต้การชุมนุมที่ไม่รุนแรงและไม่ยืดเยื้อ แนะนำหุ้น Laggard ในกลุ่ม CONS - 18.8%ytd (STEC, CK), โรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF), COMM -10.8%ytd (CRC, COM7, JMART)
3.)รอประชุม Politburo กระตุ้นเศรษฐกิจจีน (27 ก.ค.) หลังจากเศรษฐกิจจีนไม่ได้ฟื้น ขึ้นมาเร็วอย่างที่ตลาดคาด แนะนำหุ้น Laggard ในกลุ่ม PKG-28.9%ytd (SCGP), PETRO-17.7%ytd (IVL), และ TRANS ที่ลงใก้ลๆ ตลาดที่ -7.3%ytd (III, BEM)
ส่วนวันนี้ประเมิน SET Index เคลื่อนไหวในกรอบ 1520 – 1540 จุด Top pick CRC, BEM, JMT
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities