นักลงทุนต้องเตรียมรับมือกับ 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.) การประชุมธนาคารสำคัญ ของโลกในสัปดาห์หน้า เริ่มจากคืนวันที่26 ก.ค. ตลาดคาด Fed ขึ้นดอกเบี้ยครั้ง สุดท้ายในปีนี้ 0.25% เป็น 5.25% ต่อมาวัน 27 ก.ค. ECB มีโอกาสขึ้นดอกเบี้ย 0.25%เป็น 4.25% และวันที่ 28 ก.ค. BOJ อาจคงดอกเบี้ยที่ -0.1%คาดจะสร้าง ความผันผวนต่อตลาดหุ้นในช่วงสั้น แต่อาจจะเป็น Sentiment ที่ดีในระยะถัดไป 2.) การโหวตนายกฯไทย ครั้งที่ 3 ในวันที่ 27 ก.ค. ล่าสุดทางพรรคเพื่อไทย เตรียมประกาศรายชื่อแคนดิเดตหลังวันที่ 25 ก.ค. ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้ ว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถคาดการณ์ได้มากขึ้น และน่าจะทำให้ Downdside ของ SET Index จำกัด 3.) วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่กลุ่ม ธ.พ. รายงานงบการเงิน 2Q66 ครบทุกบริษัท สัปดาห์หน้าเริ่มมีการทยอยประกาศของ Real Sector อาทิ SCGP HMPRO SCC TRUE เป็นต้น และเบื้องต้นฝ่ายวิจัยเห็นแนวโน้มกำไร 2Q66 มีโอกาสลงลง -14.7%QoQ และ -32%YoY (จากการทำ Earning Preview ไปทั้งหมด 31% ของ Market Cap ตลาด) อีกทั้งในมุม EPS66F Consensus เริ่มปรับลดลง -1%mtd เหลือ 92.8 บาท/หุ้น ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัย ที่จะสร้างความผันผวนให้ตลาดในช่วงรายงานงบ 2Q66 ของ Real Sector สัปดาห์หน้าได้
วันนี้ประเมิน SET Index1515 –1535 จุด กลยุทธ์แนะนำหุ้นกำไร 2Q66 แข็งแรง มีเกราะป้องกันช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล CRC SIRI SCB เป็น Toppicks ในวันนี้
เงินเฟ้อขาลง หนุนดอกเบี้ยใกล้ปิดฉากขาขึ้น
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่อนข้างผันผวน โดยเฉพาะดัชนีNASDAQ ที่ร่วงลงกว่า - 2.1% จากแรงกดดันของหุ้นกลุ่ม Semiconductor หลังผลประกอบการที่เริ่มทยอย รายงานออกมาคลาดเคลื่อนไปจากที่คาดการณ์
นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้ายังเป็นช่วงการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลาง ต่างๆ โดยเริ่มจาก Fed (วันที่ 26 ก.ค.) ซึ่งคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ 5.0% และมีอีกหลายสัญญาณที่บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่ Fed ใกล้ปิดฉากดอกเบี้ยขาขึ้นแล้ว
1. ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ สูงกว่าทั้งเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐาน โดย ปัจจุบัน Terminal rate อยู่ที่ 5.25% ส่วน CPI และ Core CPI อยู่ที่ 3.0%YoY และ 4.8%YoY ตามลำดับ
2. เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีโอกาสลดลงตาม PPI ของจีนที่หดตัว เนื่องด้วย ความสัมพันธ์ระหว่าง CPI สหรัฐ และ PPI จีน มีค่า Correlation สูงถึง 0.6ซึ่ง PPI จีนที่ชะลอตัว จะช่วยหนุนให้ต้นทุนลดลง ทำให้สหรัฐฯ สามารถนำเข้า วัตถุดิบและสินค้าต่างๆ ได้ในราคาที่ถูกลงตามไปด้วย เป็นผลให้เงินเฟ้อมี แนวโน้มลดลงต่อเนื่อง
3. Bond Yield 2 ปีซื้อขายต่ำกว่าดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งสะท้อนมุมมองของตลาด ว่าดอกเบี้ยเข้าใกล้ระดับทรงตัว
4. Fed Watch Tool เผยการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ค. มีโอกาสเป็นครั้งสุดท้าย ของปีนี้โดยมีน้ำหนักเกือบ 100% ที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 0.25% ใน สัปดาห์หน้า
ในส่วนของฝั่งยุโรป ทั้ง CPI และ Core CPI ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ 5.5%YoY ยังคงอยู่สูงกว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4.0% ขณะเดียวกัน Bloomberg ได้ประเมินว่า Core CPI จะ ปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ เนื่องจากค่าแรง และเงินเฟ้อในภาคบริการที่ยังไม่ชะลอตัว ทำให้ ECB มีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมในวันที่ 27 ก.ค. อีก 0.25% และอาจจะ คงดอกเบี้ยหรือขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง โดยเพดานดอกเบี้ยปีนี้อาจจบที่ 4.5%
สรุป เงินเฟ้อที่ทยอยลดลงต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญต่อการกำหนดนโยบายการเงิน ของธนาคารกลางต่างๆ โดย Fed มีโอกาสสูงที่จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยภายในในปี หลัง เงินเฟ้อมีแนวโน้มวิ่งเข้าใกล้กรอบเป้าหมายมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วน ECB อาจจะขึ้นดอกเบี้ย อีกราว 1-2 ครั้ง เนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกรอบเป้าหมายและ ดอกเบี้ยนโยบาย
กำไรงวด 2Q66 มีแนวโน้มเป็นเช่นไร ... มาดูกัน
กำไรงวด 2Q66 ของบริษัทจดทะเบียน รายงานออกมาแล้ว 9 บริษัท Market Cap 4.8% มีกำไรสุทธิรวม 2.7 หมื่นล้านบาท (+4QoQ / +23%YoY) ซึ่งหากพิจารณา จาก Bloomberg จะเห็นได้ว่า กำไร 2Q66 มี Negative Surprise หรือผิดจากการ คาดการณ์ราว 0.5% ซึ่งบริษัทที่ช่วยพยุงให้กำไรรวมมี Negative Surprise ไม่มาก คือ BBL ที่รายงานงบมาวานนี้ โดยมีกำไร 2Q66 1.1 หมื่นล้านบาท ดีกว่าคาด 7% (+11%QoQ / +62%YoY )
และฝ่ายวิจัยฯ ทำการรวบรวมกำไรงวด 2Q66 ที่ประกาศออกมาแล้ว 9 บริษัท และ คาดการ์กำไร 2Q66 ของฝ่ายวิจัยฯ อีก 26 บริษัท มีกำไรรวม 1.08 แสนล้านบาท Market Cap 31% (-14.3%QoQ / -31.5%YoY) ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีต่อ กำไรงวด 2Q66 และมีโอกาสที่กำไรรวมทั้งปี 2566 อาจต่ำกว่าประมาณการที่ฝ่าย วิจัยฯคาดไว้ที่ระดับ 1.12 ล้านล้านบาท คิดเป็น EPS66F 91.8 บาท/หุ้น
อีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเริ่มเห็น Downside ของประมาณการกำไรปีนี้ คือ ประมาณ การกำไรบริษัทจดทะเบียนปี2566 ของ Consensus ปรับลดลงเรื่อยๆ โดนต้นปีอยู่ที่ 106 บาท/หุ้น ต้นเดือน ก.ค.66 อยู่ที่ระดับ 93.9 บาท/หุ้น และล่าสุดอยู่ที่ระดับ 92.8 บาท/หุ้น
ดังนั้น ประเด็นดังกล่าว น่าจะเริ่มเห็นความจริงที่ชัดเจนขึ้นหลังเดือนนี้ ที่เริ่มเข้าสู่ ฤดูกาลแห่งประกาศงบ 2Q66 ที่แท้จริง โดยมีหุ้นที่ฝ่ายวิจัยฯทำการศึกษา 10 บริษัท อาทิKTB (19 – 21 ก.ค.66) KBANK (BK:KBANK) KKP SCB (21 ก.ค.66) SCGP HMPRO (25 ก.ค.66) SCC TRUE (26 ก.ค.66) เป็นต้น ซึ่งต้องติดตามว่าจะทำให้ทิศทางกำไร 2Q66จะเป็นเช่นไร และสร้าง Downside ต่อประมาณการกำไรปี 2566 มากน้อยเพียง ไหน
โดยหากพิจารณาเป็นรายบริษัท จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ต้นเดือนนี้ ถึง ปัจจุบัน หุ้นใน SET100 ที่ถูกปรับมูลค่าทางพื้นฐานขึ้น คือ AURA WHA TTB SAWAD BAM HANA SIRI ADVANC ERW BH ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนราคาหุ้นตั้งแต่ต้นเดือนมัก ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 2.0% มีเพียงบางบริษัทที่มีปัจจัยกดดันเฉพาะตัว อาทิ ERW BH ขณะที่ทางฝั่งหุ้นใน SET100 ที่ถูกปรับมูลค่าทางพื้นฐานลง คือ DOHOME PTG THANI JMT BTG PSL SCGP GPSC STA KTC ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนราคาหุ้น ตั้งแต่ต้นเดือนมักปรับตัวลงเฉลี่ย 5.7%
สรุป ช่วงเวลานี้เข้าใกล้ฤดูกาลประกาศงบรายบริษัทงวด 2Q66 ซึ่งจากข้อมูลด้านบน สะท้อนว่า กำไรงวด 2Q66 มีโอกาสลดลงทั้ง QoQ และ YoY ซึ่งอาจส่งผลต่อการเปิด Downside ของประมาณการกำไรปี 2566 ดังนั้น SET Index มีโอกาสผันผวน และมอง กรอบแนวรับแรกที่ระดับ 1515 จุด ส่วนกลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q66 เด่น หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการกระตุ้นเศรษฐกิจใน อนาคตของรัฐบาลชุดใหม่ ชอบ SCB SIRI CRC เป็น Toppicks
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities