ปัจจัยแวดล้อมในทางเศรษฐกิจมีน้ำหนักทางบวก โดยทิศทางดอกเบี้ยกำลัง จบวัฎจักรขาขึ้น ขณะที่ความเสี่ยงเรื่อง Recessionของหลายประเทศลดลง ส่วน เศรษฐกิจไทย ADB มีการปรับเพิ่มประมาณการ GDP Growth ปี 2566 ขึ้นจาก 3.3% เป็น 3.5% ภาวะดังกล่าวทำให้ทิศทางของเม็ดเงินกล้าไกลเข้าสินทรัพย์ เสี่ยงมากขึ้น ส่วนการเมืองในบ้านเรา วานนี้มีพัฒนาการหลายเรื่อง เริ่มจากการ ที่ ศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องเรื่องการถือหุ้นสื่อของ คุณพิธา ไว้พิจารณา พร้อมสั่งให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่ ส.ส. ชั่วคราว ส่วนการประชุมรัฐสภา มีการลง มติว่า การโหวตเลือกนายกฯ ถือเป็นญัตติ ซึ่งส่งผลทำให้ไม่สามารถเสนอชื่อ Candidate นายกฯ ที่รัฐสภา เคยมีมติไม่เห็นชอบ เข้ามาพิจารณาซ้ำในสมัยการ ประชุมเดียวกัน ซึ่งน่าจะทำให้ เพื่อไทย ขึ้นมาทำหน้าที่จัดตั้งรัฐบาล ซึ่งน่าจะเห็น การปิดเกมส์ ในการประชุมรัฐสภา 27 ก.ค.66 แต่ต้องติดตามเรื่องการชุมนุม
SET Index ยังมีแรงหนุนจากภาพเศรษฐกิจ และ การเมืองที่มีโอกาสได้รัฐบาลใหม่ ในไม่ช้า ประเมินว่าน่าจะเห็นแรงเหวี่ยงขึ้นได้ต่อ กรอบการเคลื่อนไหว 1520 – 1545 จุด หุ้น Top Pick เลือก CRC, SCB และ SIRI
สินทรัพย์เสี่ยงยังเป็นเป้าหมาย หลังปัจจัยแวดล้อมยังดูดี
ผลการสำรวจของ Fed Watch Tool ล่าสุดเผยโอกาสเกือบ 100% ที่ Fed จะขึ้น ดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่เพดาน 5.5% ในการประชุบวันที่ 26 ก.ค. ซึ่งความคาดหวังที่ Fed จะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยหลังการประชุมรอบเดือน ก.ค.66 ผ่านไป เป็นหนึ่งในปัจจัย ที่หนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์สี่ยงมากขึ้น โดยเมื่อนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ตลาด หุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นราว 1.9%Mtd -5.1%Mtd
ส่วนตลาดหุ้นในฝั่งยุโรปวานนี้ ดัชนี FTSE100 ของประเทศอังกฤษค่อนข้าง Outperform โดยดีดตัวขึ้นมาแรงกว่า 1.8% หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เผยตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือน มิ.ย. อยู่ที่ 7.9%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 8.2%YoY รวมถึงชะลอตัวจากเดือนก่อนที่ 8.7%YoY เนื่องจากราคาพลังงานที่ ปรับตัวลดลง ส่วน Core CPI เดือน มิ.ย. อยู่ที่ 6.9%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดและ ปรับตัวลดลงตัวลงจากเดือนก่อนที่7.1% ทำให้คาดหวังว่า BoE อาจปรับขึ้นดอกเบี้ย ในการประชุมรอกเดือน ส.ค. นี้ เพียง 0.25% สู่ระดับ 5.25% (รอบก่อนหน้านี้ BoE ขึ้น ดอกเบี้ย 0.5%)
ขณะที่ในฝั่งเอเชียธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) เผยประเทศกำลังพัฒนาใน เอเชียจะเติบโตเร็วขึ้นในปี 2566 ที่ 4.8%YoY เนื่องจากปริมาณการบริโภคและลงทุน แข็งแกร่ง อีกทั้งยังได้ปรับประมาณการณ์ GDP ของไทยขึ้นจาก 3.3%YoY เพิ่มขึ้นเป็น 3.5%YoY หลังการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยวใน 1H66 โตค่อนข้างโดดเด่น นอกจากนี้ Bloomberg ยังได้ปรับลดโอกาสในการเกิด Recession ในอีก 1 ปีข้างหน้า ในโซนยุโรปเฉลี่ยอยู่ที่ 50% ส่วนในโซนเอเชียมีโอกาสเกิด Recession ค่อนข้างต่ำ โดย ไทยอยู่ที่ 10%
สรุป ปัจจัยแวดล้อมที่เป็นบวก ช่วยหนุนให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรพย์เสี่ยงมากขึ้น ทั้ง ความคาดหวังเรื่องวงจรดอกเบี้ยสหรัฐที่ใกล้จบ เงินเฟ้อทยอยลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงภาพรวมเศรษฐกิจในโซนเอเชียมีแนวโน้มเติบโตเร็วขึ้นในปี 2566
ประเด็นการเมืองเริ่มเห็นฉากทัศน์ชัดเจนขึ้น ช่วยหนุนตลาดหุ้น ไทยปรับขึ้นต่อได้
วานนี้ในช่วงเที่ยง ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7:2 เสียงต่อคำสั่งให้นายพิธาในฐานะผู้ถูก ร้อง(กรณีการถือหุ้นสื่อฯ) หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ไว้ก่อน ตั้งแต่ 19 ก.ค.66 จนกว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย ส่วนกระบวนการหลังจากนี้ศาลจะรอเอกสารชี้แจงแก้ ข้อกล่าวหาจากผู้ถูกร้องภายใน 15 วัน ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการไต่สวน คาดว่า กระบวนการดังกล่าวใช้เวลาราว 3-4 เดือน ขณะที่ช่วงเย็น ประธานรัฐสภาได้ขอให้ที่ ประชุมลงมติ กรณีการเสนอชื่อนายพิธา เพื่อให้ที่ประชุมพิจารณาว่าเป็น ผู้สมควร ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ขัดต่อข้อบังคับการประชุมข้อที่ 41 หรือไม่ ซึ่งที่ประชุมมีมติไม่ให้เสนอชื่อซ้ำ ด้วยคะแนน 395 ต่อ 312 งดออกเสียง 8 ไม่ ลงคะแนน 1 ส่งผลให้ไม่สามารถเสนอชื่อ นายพิธา เป็น Candidate นายกรัฐมนตรีให้ฐัสภาโหวตซ้ำได้ในสมัยการประชุมนี้ประชุมนี้ (สิ้นสุดเดือน ต.ค.66) โดยประธาน รัฐสภาได้กำหนดเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตนายกฯ ครั้งถัดไป 27 ก.ค.66
มีความเป็นไปได้สูงที่พรรคที่ได้ ส.ส. มากเป็นอันดับ 2 อย่างพรรคเพื่อไทย จะเป็นแกน นำจัดตั้งรัฐบาล โดยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ในการประชุมรัฐสภา 27 ก.ค.66 ซึ่ง ฝ่ายวิจัยฯคาดว่าพรรคเพื่อไทยจะต้องดำเนินการให้เรียบร้อยในครั้งนี้ (27 ก.ค.66) เนื่องจากการประชุมสภารอบที่ผ่านมา มีข้อสรุปว่าไม่สามารถเสนอรายชื่อ บุคคลเดิม เป็น Candidate นายกฯซ้ำได้ ภายใต้สถานการณ์อื่นไม่เปลี่ยนเป็น “ญัตติต้องห้าม” ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41 ในเบื้องต้น เราเชื่อว่ามีโอกาสที่จะได้รัฐบาล ชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศในช่วง ส.ค.66 โดย Scenario ที่สามารถเกิดขึ้นได้ในการ จัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีดังนี้
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้ง 8 พรรค และสามารถจัดตั้ง รัฐบาลได้สำเร็จ
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ โดยไม่มีพรรคก้าวไกล และยังเป็น รัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร์
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้ว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถคาดการณ์ได้ มากขึ้น และน่าจะทำให้ Downdside ของ SET Index จำกัด โดยเชื่อว่าน่าจะได้รัฐบาล ใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ในช่วงเดือน ส.ค. 66 มีเพียงความเสี่ยงนอกสภาฯ ที่หากมี ความรุนแรงและยืดเยื้อขึ้น จะเป็นปัจจัยกดดัน SET Index อีกครั้ง ซึ่งหากพิจารณา Google (NASDAQ:GOOGL) Trends คำว่า “ม็อบ-ประท้วง-Protest” ในปัจจุบันยังอยู่ระดับต่ำกว่าในอดีต มาก
ตลาดหุ้นไทยยังมีแรง Fund Flow ช่วยพยุง พร้อมกับหาหุ้นติด สปริง คาดหวังการฟื้นตัวต่อ
ในช่วง 4วันที่ผ่านมา ยังเห็นการไหลเข้าของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทย จาก 3 กลุ่ม นักลงทุนใหญ่ พร้อมกัน 3 วันติด เริ่มจาก ต่างชาติซื้อสุทธิสะสมสูงสุด 3.9 พันล้าน บาท รองลงมา คือ กองทุนในประเทศซื้อสุทธิสะสม 2.9 พันล้านบาท ตามมาด้วย พอร์ตโบรกเกอร์ซื้อสุทธิสะสม 779 ล้านบาท ซึ่งในอดีตไม่บ่อยนักที่จะเห็นการซื้อสุทธิ พร้อมกันของทั้ง 3 กลุ่ม และจากสถิติในปีนี้ยังบ่งชี้ว่า เวลาที่ทั้ง 3 กลุ่มซื้อสุทธิพร้อม กัน มักผลักดันให้ SET Index มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ย 0.84% ต่อวัน และมี โอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 80%
ขณะเดียวกันยังเห็น Fund Flow ต่างชาติที่เข้ามาซื้อสุทธิสะสมใน SET50 Futures หนาแน่นในช่วง 9 วันทำการที่ผ่านมา ถึง 1.37 แสนสัญญาซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่ากับ 2.6 หมื่นล้านบาท
ด้วย Fund Flow ไหลเข้าทั้งในตลาดหุ้นไทย และตลาดฟิวเจอร์ส คาดจะช่วยลดความ ผันผวนของตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาลได้
สำหรับกลยุทธ์ ฝ่ายวิจัยฯ แนะนำ “หุ้นติดสปริง” คือ หุ้นที่ลงมาลึกตั้งแต่ช่วงหลัง เลือกตั้ง แต่เริ่มมี Momentum ในการฟื้น และยังเหลือพื่นที่ให้ดีดตัวกลับไปที่เดิม โดย ผ่านเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้
1. หุ้นลงมาลึก คือ หุ้นที่ทำจุดต่ำสุดลึกกว่า -10% ในช่วงหลังวันเลือกตั้งปี 66
2. เริ่มมี Momentum ในการฟื้น คือ มีการฟื้นขึ้นจากจุดต่ำสุดมากกว่า 10%
3. เป็นหุ้นที่มักขึ้นได้แรงกว่าตลาด คือ มี Beta > 1
4. ยังมีพื้นที่ให้ขยับขึ้นต่อ คือ ราคาหุ้นยังไม่กลับไปสูงกว่าช่วงก่อนเลือกตั้งปี 66
จากรายชื่อหุ้นดังกว่า ฝ่ายวิจัยชื่นชอบ CRC, STEC, GULF, PLANB, BGRIM, SAWAD, JMT มากสุด
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities