ประเมินจากพัฒนาการของข่าวการเมือง เชื่อว่ามีความเป็นไปได้มากขึ้นที่จะได้ รัฐบาลใหม่เข้ามาทำงานภายในเดือน ส.ค.66 โดยวันนี้จะมีการโหวตเลือกต นายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสที่จะเสนอชื่อ Candidate จาก พรรค ก้าวไกล เข้ารับการโหวตอีกครั้งหนึ่ง หากได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา หรือ 375 เสียง ก็จะผ่านเข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล แต่หากยังไม่ผ่าน หรือ ไม่มีการ โหวตในวันนี้ เชื่อว่าโอกาสที่พรรค เพื่อไทย จะทำหน้าที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยเสนอชื่อ Candidate ของพรรคเพื่อไทย ลงรับการโหวต ซึ่งผลที่ออกมาอาจ เป็นได้ทั้งขั้ว 8 พรรค MOU เดิม และขั้วใหม่ เห็นได้ว่าเส้นทางการเมื่องบ้านเรามี ความชัดเจนขึ้นตามลำดับ ซึ่งน่าจะมีส่วนสำคัญทำให้Fund Flow ของต่างชาติ เริ่มไหลกลับ สะทัอนผ่านเงินบาทที่แข็งค่ามาอยู่ที่บริเวณ 34 บาท/USD
เชื่อว่าทิศทาง Fund Flow ที่เคยไหลออก เริ่มจะเปลี่ยนทิศทางเป็นการไหลเข้า ซึ่ง จะมีส่วนอย่างสำคัญที่จำกัด Downside ของตลาดไว้ที่ 1520 จุด ส่วน Upside ระยะสั้นประเมินที่ 1545 จุด หุ้น Top Pick เลือก ERW, PTTEP และ SIRI
ปัจจัยภายนอกอยู่ในโทนบวก หนุนเม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยง
วานนี้ตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปปรับตัวขึ้นต่อเนื่องราว 0.3% - 1.3% ขณะที่ Dollar Index ค่อนข้างทรงตัวอยู่ที่ 99.94 จุด และอ่อนค่าลงนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค. ราว - 2.89%Mtd สะท้อนเม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น
สำหรับปัจจัยที่ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นต่างประดีดตัวขึ้นมา หลักๆ ได้แก่
• ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ 2Q66 ที่ทยอยออกมาแล้ว 24 บริษัท ส่วนใหญ่ดีกว่าคาด (3 ใน 4 ส่วน) โดยแรงหนุนหลักมาจากหุ้นกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์
• Goldman Sachs ปรับลดโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Recession ในอีก 12 เดือนข้างหน้าจาก 25% เหลือ 20% โดยประเมินว่าเงินเฟ้อมีแนวโน้ม ลดลงต่อเนื่อง ท่ามกลางตลาดแรงงานที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง นอกจากนี้ยังเชื่อ ว่า Fed จะขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งสุดท้ายในการประชุมวันที่ 26 ก.ค.
• วงจรดอกเบี้ยขาขึ้นในสหรัฐฯ ใกล้จบลง โดนผลการสำรวจของ Fed Watch Tool เชื่อว่าช่วงที่เหลือของปีนี้ Fed อาจขึ้นดอกเบี้ยอีกเพียง 1 ครั้งในสัปดาห์ หน้า โดยมีเพดานอยู่ที่ 5.5% หลังตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่รายงานออกมา ล่าสุดในเดือนมิ.ย. อยู่ระดับต่ำว่าตลาดคาด ทั้ง Retail Sales ที่ขยายตัวเพียง เล็กน้อย +0.2%MoM (คาด 0.5%) รวมถึง Industrial Production ที่หดตัว ต่อเนื่อง -0.5%MoM (คาด 0.0%)
สรุป เม็ดเงินไหลเข้าสู่สินทรพย์เสี่ยงมากขึ้น หลังได้รับหลายปัจจัยหนุน ตั้งแต่ผล ประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ 2Q66 ที่ทยอยออกมาส่วนใหญ่ดีกว่าคาด บวกกับ Goldman Sachs ได้ปรับลดโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะ Recessionรวมถึงความกังวลเรื่องดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายลง
หลังวันนี้ประเด็นการเมืองน่าจะเห็นฉากทัศน์ชัดเจนขึ้น ช่วยหนุน SET Outperform ตลาดหุ้นโลก
หลังการประชุมคณะกรรมการประสานงาน 3 ฝ่าย ประเด็นเสนอชื่อคุณพิธาโหวต นายกซ้ำรอบที่ 2 ได้หรือไม่ (ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาที่ 41) ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาอภิปรายในรัฐสภาวันนี้ โดยจากการแถลงของคุณพิธาฯประเมิน ว่า จะได้เสียง ส.ว. รวมเพิ่มขึ้นอีกราว10% ทำให้เสียงสนับสนุนรวมอยู่ที่ราว340-350 เสียง ซึ่งถ้าการโหวตครั้งที่ 2 ได้เสียงสนับสนุนน้อยกว่าคาด พร้อมเปิดทางให้พรรค อันดับ 2 คือ พรรคเพื่อไทยเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ต่อไป ซึ่งแหล่งข่าวหลายแห่งเผยว่า หากพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาลจะมี หลายเรื่องจะต้องเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเนื้อหาสาระของเอ็มโอยูทั้ง 8 พรรค ที่มีโอกาส นำพรรคอื่นเข้ามาร่วมรัฐบาลได
ซึ่งฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่า ประเด็นการเมืองเริ่มเห็นปลายทางที่ชัดเจนขึ้นตามลำดับ กล่าวคือ หากวันนี้การโหวตนายกฯ สำเร็จ ก็จะได้นายกที่มาจากพรรคก้าวไกล แต่ หากไม่สำเร็จ ก็น่าจะเห็นพรรคเพื่อไทย ขึ้นมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทน และสุดท้าย เชื่อว่าน่าจะได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศในช่วง ส.ค.66 โดย Scenario ที่ สามารถเกิดขึ้นได้ในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ มีดังนี้
• Candidate จากพรรคก้าวไกล เป็นนายกรัฐมนตรี กรณีที่ได้คะแนนเสียงใน
การโหวตของรัฐสภาเกิน 375 เสียงในการประชุมรัฐสภาวันนี้
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลเดิมทั้ง 8 พรรค และสามารถจัดตั้ง
รัฐบาลได้สำเร็จ SET Index ปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยมองแนวต้านถัดไป 1545 จุด
และ 1560 จุด
• พรรคเพื่อไทย จับมือพรรคร่วมรัฐบาลใหม่ และยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากใน
สภาผู้แทนราษฎร์ SET Index อาจผันผวนในช่วงแรก ซึ่งต้องติดตามการ
เคลื่อนไหวของการชุมนุมนอกสถา
สรุป ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินภาพการเมืองในช่วงนี้ว่าอยู่ในวิสัยที่สามารถคาดการณ์ได้ มากขึ้น และน่าจะทำให้ Downdside ของ SET Index จำกัด โดยเชื่อว่าน่าจะได้รัฐบาล ใหม่เข้ามาบริหารประเทศได้ในช่วงเดือน ส.ค. 66 วันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในช่วง 1520-1545 จุด
3 กลุ่มนักลงทุนใหญ่ ซื้อสะสมหุ้นไทย 3 วันติด
ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา Fund Flow มีการไหลเข้าตลาดหุ้นเอเชียทุกประเทศ ทั้งไต้หวัน, เกาหลีใต้, อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทย ที่ต่างชาติซื้อสะสม 114 ล้านเหรียญ หรือ 3.9 พันล้านบาท หนุนตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมา 41 จุด หรือ 2.97% มาอยู่ที่ 1535.30 จุด
ที่สำคัญยังเห็นการไหลเข้าของ Fund Flow ในตลาดหุ้นไทย จาก 3 กลุ่มนักลงทุนใหญ่ พร้อมกัน 3 วันติด เริ่มจาก ต่างชาติซื้อสุทธิสะสมสูงสุด 3.9 พันล้านบาท รองลงมา คือ กองทุนในประเทศซื้อสุทธิสะสม 2.2 พันล้านบาท ตามมาด้วยพอร์ตโบรกเกอร์ซื้อ สุทธิสะสม 695 ล้านบาท
ในอดีตไม่บ่อยนักที่จะเห็นการซื้อสุทธิพร้อมกันของทั้ง 3 กลุ่ม และจากสถิติในปีนี้ยัง บ่งชี้ว่า เวลาที่ทั้ง 3 กลุ่มซื้อสุทธิพร้อมกัน มักผลักดันให้ SET Index มีโอกาสปรับตัว เพิ่มขึ้นสูงสุดเฉลี่ย 0.84% ต่อวัน และมีโอกาสให้ผลตอบแทนเป็นบวกสูงถึง 80%
Fund Flow ต่างชาติที่กลับมาไหลเข้าหุ้นไทย ผนวกกับกองทุนและพอร์ตโบรกเกอร์ คอยสนับสนุน ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยได้ดี และในช่วงต่อจากนี้ ยังมี Momentum ที่ช่วยหนุนให้ Fund Flow ไหลเข้าต่อเนื่อง จากค่าเงินบาทที่ยังมี แนวโน้มแข็งค่าต่อ และหากการเมืองมีเสถียรภาพและสามารถจัดตั้งได้เร็ว และ Fund Flow มีโอกาสไหลเข้ามาเพิ่มเติมกว่าปกติ หากพรรคเพื่อไทยพลิกมาเป็นแกนนำใน การจัดตั้งรัฐบาล สะท้อนได้จาก ข้อมูลในอดีต เวลาเลือกตั้ง แล้วพรรคเพื่อไทยได้เป็น รัฐบาล SET Index มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีเสมอ
ดังนั้นฝ่ายวิจัยฯ จึงทำการค้นหา หุ้นที่ต่างชาติชื่นชอบและซื้อสุทธิสะสมในช่วง 3 วัน ทำการที่ผ่านมาจากรายชื่อดังกล่าว ฝ่ายวิจัยฯ ชื่นชอบ และแนะนำหุ้นที่ต่างชาติทยอยซื้อสะสม อย่าง KBANK (BK:KBANK), ADVANC, SCC, PTTEP, SIRI ฯลฯ
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities