สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาหากประเมินจากท่าทีของ กลุ่มทางการเมืองต่างๆ แม้จะยังไม่ มีข้อสรุปแต่ก็เห็นความชัดเจนมากขึ้น โดยเริ่มเห็นโอกาสที่ พรรคเพื่อไทย จะ ขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมีมากขึ้น หลังการโหวตเลือก นายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 ผ่านไป แต่การที่จะจับมือกับพรรคการเมืองใดบ้างคง ต้องรอดูไปอีกระยะหนึ่ง ภาวะที่เริ่มเห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ก็น่าจะทำให้ทิศทาง ของตลาดหุ้นชัดเจนขึ้นมาระดับหนึ่งเช่นกัน โดยภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่(ไม่มี การชุมนุมที่รุนแรงนอกสภาฯ) เป็นไปได้ที่จะเห็นกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ที่กรอบ 1480 – 1545 จุด สำหรับปัจจัยอื่นๆ ที่ต้องติดตามได้แก่ ภาวะ เอลนีโญ ที่อาจเป็นแรงกดดันเศรษฐกิจ แต่ก็อาจเป็นผลดีต่อหุ้นบางตัว ส่วนผล ประกอบการงวด 2Q66 ที่จะทยอยประกาศคาดจะเห็นการลดลง YoY และ QoQ
สถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มมองเห็นปลายทาง น่าจะทำให้เห็น Downside ของ SET Index ได้ชัดขึ้นโดย 1480 จุด น่าจะรองรับได้ วันนี้คาดอยู่ในกรอบ 1500 –1525 จุด หุ้น Top Pick เลือก ERW, PLANB และ SIRI
ตลาดหุ้นนอกดูทรงๆ หลังความกลัวเรื่องดอกเบี้ย-เงินเฟ้อเบาลง
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นต่างประเทศเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ โดยในฝั่งสหรัฐฯ ปิด ตัวราว -0.1% ถึง 1.0% ส่วนในฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.2% ถึง 0.2% ขณะที่ดอลลาร์มี การขยับขึ้นเล็กน้อยราว 0.14% หลังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ ประกอบกับความกลัวเรื่องเงิน เฟ้อ-ดอกเบี้ย หายไปเรื่อยๆ อีกทั้งความกังวลในเรื่อง Recession ยังไม่กลับมา
ขณะที่ในสัปดาห์นี้มีหลายประเด็นที่น่าติดตาม โดย Highlight สำหรับวันนี้ (17 ก.ค.) เวลา 9.00 น. ทางการจีนจะมีการรายงานตัวเลข GDP ใน 2Q66 ซึ่ง Consensus ประเมินว่าจะขยายตัว 7.1%YoY และ 0.8%QoQ (ชะลอตัวลงจาก 1Q66 ที่ 2.2%QoQ) ทั้งนี้หากตัวเลขออกมาต่ำกว่าคาด จนกดดันให้แนวโน้มเฉลี่ยทั้งปีไม่เกิน 5% ตามเป้าหมาย น่าจะเป็นปัจจัยเร่งให้รัฐบาลจีนจำเป็นต้องออกมาตรการกระตุ้น เศรษฐกิขนาดใหญ่ในการประชุม Politburo เดือน ก.ค. นี้
ส่วนประเด็นภายในประเทศที่สำคัญคือ การโหวตนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. เวลา 9.30 น. ซึ่งในวันเดียวกันนี้ คาดว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยคดีถือหุ้นสื่อ ITV ของ Candidate นายกฯ พรรคก้าวไกลด้วยเช่นกัน
ดังนั้น ตลาดหุ้นต่างประเทศเข้าสู่โหมดทรงตัว เช่นเดียวกับสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ค่าเงินดอลลาร์ หลังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ย หายไปเรื่อยๆ อีกทั้งความกังวลในเรื่อง Recession ยังไม่กลับมา ทำให้สัปดาห์นี้ ประเด็นที่จะเข้ามาขับเคลื่อน SET Index หลักๆ คาดว่าจะเป็นปัจจัยทางการเมืองไทยที่ ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
การเมือง ยังคงต้องติดตาม แต่ SET เริ่มกำหนด Downsideได้
หลังการเลือกนายกรัฐมนตรีรอบแรกไม่สำเร็จ โดยผลการลงมติ เห็นชอบนายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี 324 เสียง ไม่ชอบ 182 เสียง งดออกเสียง 199 เสียง (ขาดอีก 52 เสียงที่จะโหวตสนับสนุนเพื่อให้เสียงถึง 376 เสียง) ซึ่งจะนัดประชุมสภาอีกครั้งวันที่ 19 ก.ค.66ซึ่งพรรคก้าวไกล ได้มีการเปิดเผย 2 แนวทางที่จะดำเนินการ
1. เดินหน้าเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล โดยโน้มน้าว สมาชิกวุฒิสภา(สว.) มาโหวต เลือกคุณพิธา เป็นนายก ในวันที่ 19 ก.ค.66 มากขึ้น
2. แก้ไขรัฐธรรมนูญโดยยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งเป็นการตัดอำนาจ ส.ว. ในการใช้ สิทธ์โหวตเลือกนายกฯ แต่กระบวนการในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ถือเป็นเรื่อง ยาก เนื่องจากต้องใช้เสียง สว 1 ใน 3 หรือ 84 เสียง และเสียงสนับสนุนจาก พรรคฝ่ายค้าน (ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการแยกแยะว่าใครเป็นพรรคร่วมรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน) ทั้งนี้ในอดีต มีการเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวมาแล้ว 7 ครั้ง แต่ ไม่สำเร็จ
อย่างไรก็ตามหากขับเคลื่อนจนถึงสุดทางแล้ว ยังไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรค ก้าวไกลพร้อมที่จะทำตาม MOU ให้พรรคอันดับ 2 ซึ่งได้แก่ พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำ จัดตั้งรัฐบาลแทน ซึ่งยังต้องอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาลเดิม หรือ 8 พรรคที่เซ็น MOU ไว้ โดยทาง 8 พรรครวมจะนัดหารือกันวันนี้5 โมงเย็น
ส่วนผลกระทบในทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้กระทรวงการคลัง ประเมินว่า กรณีจัดตั้งรัฐบาลใหม่ยืดเยื้อไม่เกิน 6 เดือน คาดกระทบต่อมูลค่า GDP ราว0.05%
โดยการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคร่วมทั้ง 8 พรรคจะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ดังนั้นกลยุทธ์การ ลงทุนในช่วงนี้ เน้นหุ้นพื้นฐานแกร่งที่ย่อลงมาลึกจากความกังวลการเปลี่ยนผ่าน นโยบายทางการเมือง หรือกลัวผลกระทบนโยบายก้าวไกล คาดหวังผลกำไรช่วงสั้นได้ ดังตารางด้านล่าง อาทิ STEC SAWAD EA GPSC TRUE SCGP CBG PLANB GULF MTC BEM HMPRO เป็นต้น
สรุป ฝ่ายวิจัยฯคาดตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนต่อไปในเดือนนี้ แต่เริ่มที่จะกำหนด จุด Downdside ได้ระดับหนึ่ง โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ใน กรอบ 1510-1525 จุด และเลือกกลุ่มหุ้นสลับขั้วที่มีโอกาส Outperform SET ในช่วง เวลาดังกล่าว ชอบ STEC TRUE SCGP CBG PLANB GULF BEM
ส่อง Theme หุ้นรับมือผลกระทบเอลนีโญ
สถานการณ์ El Niño จากคาดการณ์โดย IRI (The Columbia Climate School, Columbia University) ณ 8 มิ.ย. 66 เปิดเผยว่าโอกาสในการเกิด El Niño อยู่ที่ระดับ 86% - 93% ในช่วง พ.ค. 66 – มี.ค. 67 ภาพดังกล่าวจะทำให้ปริมาณฝนบริเวณ ประเทศไทยลดลง (ในทางตรงข้ามฝนจะตกมากขึ้นในฝั่งทวีปอเมริกา) ปัจจัยดังกล่าว แม้มีแนวโน้มส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรช่วง 4Q66 ปรับตัวสูงขึ้น แต่ปริมาณผลผลิต อาจลดลง ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของ El Niño ส่งผลต่อความไม่แน่นอนของรายได้ เกษตรกร
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)วิเคราะห์GDP เกษตรใน 2Q66 เบื้องต้น อาจขยายตัวได้น้อยกว่าคาดเพียง 0.3%YoY และปรับตัวลดลงจาก 1Q66 ที่ 5.5%YoY เนื่องจากได้รับผลกระทบจากคลื่นความร้อนในปีนี้
โดยบนกรณีที่ El Niño ส่งผลต่อปริมาณผลผลิตสินค้าเกษตร จนทำให้ราคาสินค้า เกษตรเพิ่มขึ้น เปิดความเสี่ยงด้านสูงต่อเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) ช่วงปลายปี
แสดงให้เห็นว่า ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดปรากฎการณ์เอลนีโญสูงขึ้น (ภัยแล้ง หนัก ฝนขาดช่วง) ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนในบางกลุ่ม คือ
1.กลุ่มเกษตร KSL ถูกกดดันจากปริมาณผลผลิตการเกษรตรลดน้อยลง, GFPT TFG ถูกกดดันจากต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น (ทั้งจากราคาอาหารแพง และสัตว์เลี้ยง ยังบริโภคอาหารและน้ำสูงขึ้นในช่วงแล้ง)
2.กลุ่มพลังงานน้ำ CKP จากปริมาณน้ำในเขื่อนลดลง ในทางตรงกันข้ามมีหุ้นที่ได้ Sentiment เชิงบวก คือ
1.กลุ่มธุรกิจน้ำดิบ – น้ำประปา อาทิ TTW, EASTW คาดในช่วงสั้น ปริมาณน้ำสำรอง ในแหล่งเก็บน้ำจะยังคงมีเพียงพอต่อการบริหารจัดการ โดยสภาวะภัยแล้งจาก เหตุการณ์เอลนีโญ คาดจะเป็นแรงหนุนให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมมีปริมาณน้ำสำรอง น้อยลง และหันมาเรียกซื้อน้ำกับทางผู้ประกอบการน้ำดิบมากขึ้น ประกอบการเข้าสู่ ช่วงฤดูร้อน ซึ่งโดยปกติจะถือเป็นช่วง high season ของการใช้น้ำโดยรวมทั้งในภาค ครัวเรือนและภาคอุตสาหกรรม จึงคาดปริมาณขายน้ำของกลุ่มสาธารณูปโภคในช่วง 2Q66 จะเห็นการเติบโต YoY
2. กลุ่มอาหารสัตว์ ASIAN, ITC, AAI, CPF ถูกกดดันจากราคาอาหารแพง และสัตว์ เลี้ยงยังบริโภคอาหารและน้ำสูงขึ้นในช่วงแล้ง
3. กลุ่มเครื่องดื่ม (หากอากาศร้อนขึ้น) ดีต่ออุปสงค์ธุรกิจเครื่องดื่ม CBG, ICHI, SAPPE
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities