พัฒนาการของข่าวการเมืองล่าสุด พรุ่งนี้ (13 ก.ค.) จะมีการโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี ในรัฐสภาโดยในเบื้องต้นจะมีการอภิปรายของ ส.ส. และ ส.ว. ใช้ เวลารวม 6 ชั่วโมง คาดว่าจะเริ่มโหวตโดยการขานชื่อตามดับของสมาชิกรัฐสภา ในเวลาประมาณ 17:00 น. ส่วนการพิจารณาเรื่องการถือครองหุ้นสื่อของ Candidate นายกฯจาก ก้าวไกล วานนี้ กกต. ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะส่งเรื่องให้ศาล รัฐธรรมนูญพิจารณาหรือไม่ อีกเรื่องหนึ่งคือการประกาศวางมือทางการเมือง ของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งต้องติดตามว่าจะทำให้ ส.ว.บางส่วนทำFree Vote หรือไม่ และจะทำให้ท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติ เปลี่ยนแปลงท่าที่ในการจัดตั้ง รัฐบาลหรือไม่ สำหรับปัจจัยแวดล้อมอื่น ความสนใจอยู่ที่ราคาน้ำมันที่ปรับตัว สูงขึ้น และ การปรับขึ้นของ DJIA จากความกังวลเรื่องเงินเฟ้อที่ลดลง
ภาพการเมืองยังเป็นตัวกำหนดทิศทางหลักของ SET Index โดยวันนี้คาดผัน ผวนในกรอบ 1480–1510 จุด เพื่อรอดูผลการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งยัง มีความไม่แน่นอนสูง Top Pick เลือก ADVANC, BEM และ PTTEP
นับถอยหลัง 1 วันก่อนโหวตนายกฯ : การเมืองยังไม่นิ่ง กดดัน SET วิ่งในแกว่งกรอบแคบ
ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีในวันที่ 13 ก.ค. 66 เวลา 09.30 น. ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 1 วันเท่านั้น โดยในวันดังกล่าวได้วางกรอบเวลา ไว้ว่าจะให้สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายแสดงความคิดเห็นราว 6 ชั่วโมง (ส.ว. ~2 ชั่วโมง, ส.ส. ~4 ชั่วโมง) และจะมีการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในเวลา 17.00 น.ซึ่งต้องเป็นการ ลงคะแนนอย่างเปิดเผย โดยใช้วิธีการขานชื่อเรียงตามลำดับ ทั้งนี้หากการโหวตครั้ง แรกไม่มีผู้ที่ได้รับคะแนนสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาฯ (376 คน) ก็จะกำหนดวันนัด โหวตรอบใหม่ในช่วง19-20 ก.ค.66
จากการประมวลกระแสข่าวที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ เห็นว่าความไม่แน่นอนว่าใครจะ ได้รับคะแนนโหวตให้เป็นนายกรัฐมนตรียังอยู่ในระดับสูง เหตุเพราะ Candidate จาก พรรคก้าวไกลซึ่ง รวบรวมเสียงใน สภาผู้แทนราษฎร์ได้ถึง 312 เสียง ยังต้องเผชิญกับ อุปสรรคหลายประการเช่น
• กรณีที่พรรคก้าวไกลชูนโยบายหาเสียง แก้/ยกเลิก ม.112 ของ ป.อาญา ล่าสุดอัยการสูงสุด ได้ทำหนังสือตอบกลับศาลรัฐธรรมนูญ ต่อประเด็น ข้อสอบถามาว่า อัยการสูงสุด พิจารณารับหรือไม่รับรับคำร้อง กรณีมีผู้ร้อง ว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 49 หรือไม่ ทั้งนี้ยังไม่มีการเปิดเผยถึงคำตอบของ อัยการสูงสุดต่อสาธารณะ
• เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. จนถึงปัจจุบันยังมีกระแสที่สะท้อนออกมาว่า เสียง ส.ว.ส่วนใหญ่ ไม่สนับสนุน Candidate นายกรัฐมนตรีจากพรรคก้าวไกล ทั้งนี้เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการทำข้อตกลง MOU ร่วมกันมีเพียง 312 เสียงซึ่งขาดอีก 64 เสียง ซึ่งต้องพึ่งพาเสียงจาก สว. โดยล่าสุด ส.ว.บางท่าน ให้ความเห็นว่า ได้เช็คเสียงภายใน พบว่ากลุ่มที่จะสนับสนุนนายพิธา ยังมีเป็น ส่วนน้อย และหากโหวตรอบแรกไม่ผ่าน และมีการเสนอโหวตรอบ 2 อาจมีส.ว. คัดค้าน โดยอ้างอิงข้อบังคับการประชุมรัฐสภา ข้อที่ 41ได้
• คุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ กรณีการถือหุ้นสื่อ ITV ของคุณพิธา ปัจจุบัน กกต.อยู่ระหว่างการพิจารณาคำร้องว่าจะเข้าข่าย ลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส. ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) และเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ ส.ส.สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 (6) หรือไม่ และรอผลสรุปว่าจะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ โดย วันนี้ กกต. จะพิจารณาต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
ขณะเดียวกันวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค รวมไทยสร้างชาติได้ประกาศวางมือทางการเมืองเพื่อดับกระแสการจัดตั้งรัฐบาลเสียง ข้างน้อย โดยประเด็นดังกล่าว อาจส่งผลให้ ส.ว. บางส่วนตัดสินใจ Free Vote ซึ่งก็มี ความเป็นไปได้ที่พรรคก้าวไกลจะได้รับคะแนนโหวตมากขึ้น หรือในอีกหนึ่งกรณีอาจ เป็นการเปิดทางให้พรรครวมไทยสร้างชาติ เกิดการสลับขั้วทางการเมืองได้เช่นกัน
ดังนั้น ภายใต้ประเด็นการเมืองที่เต็มไปด้วยคาวมไม่แน่นอน และกำลังเข้าใกล้จุด เปลี่ยนที่สำคัญในวันที่ 13 ก.ค.66 คาดทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสผันผวนในกรอบ แคบก่อน จนกว่าจะรู้ผลลัพธ์ และเชื่อว่า Fund Flow ต่างชาติยังคงไม่ไหลเข้ามาสะสมใน เร็ววัน โดยวันนี้มองกรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index ในกรอบ 1485-1510 จุด
หลบการเมือง…ด้วยการหาหุ้นงบ 2Q66 ดูดี
นักลงทุนยังรอความชัดเจนจากประเด็นการเมือง สะท้อนได้จากมูลค่าซื้อขายหุ้นไทย ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา เบาบางมากเหลือเพียง 3.4 – 3.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ นักลงทุนรายย่อยซื้อขายหุ้นไทยไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาทต่อวัน (ผิดกับตอนต้นปีซื้อขาย เฉลี่ยเกิน 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน)
อีกประเด็นหนึ่งกำไรงวด 2Q66 มีโอกาสลดลง ทั้ง QoQ และ YoY จากการเข้าสู่ช่วง Low Season รวมถึงฐานกำไรงวด 2Q65 ที่สูงกว่าปกติมากที่ 3.55 clo]hko[km จากราคาน้ำมันในช่วงนั้นที่สูงถึง 110 –120 เหรียญ/บาร์เรล
สอดคล้องกับการรวบรวมข้อมูลกำไรงวด 2Q66 จากการทยอยทำ Earning Preview จากนักวิเคราะห์พื้นฐาน พบว่า เริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวลงของกำไร จากหุ้นสัดส่วน 1 ใน 4 ของ Market Cap รวม มีกำไรงวด 2Q66 อยู่ 9.8 หมื่นล้าน บาท ลดลง -0.2%QoQ และ -11.1%YoY (เป็นกำไรหุ้นจากกลุ่มธ.พ. เกินกว่าครึ่ง)
ภายใต้แรงกดดันทางการเมือง กำไรงวด 2Q66 ที่ชะลอแน่ๆ ทำให้ในช่วงนี้นักลงทุน อาจจะ Selective และเอนเอียงน้ำหนักมาที่หุ้นงบ 2Q66 เด่น โดยฝ่ายวิจัยทำการ รวบรวมข้อมูลจาก Consensus มีหุ้นที่กำไร 2Q66 มีโอกาสเติบโตทั้ง QoQ และ YoY
จากรายชื่อดังกล่าว แนะนำหุ้นแนวโน้มกำไร 2Q66 เด่น คือ ADVANC, PTTEP, GULF, GPSC, BEM, JMT, CK, PLANB ฯลฯ ส่วน Toppick วันนี้เลือก PTTEP, ADVANC, BEM
ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในระยะถัดไป ชอบ PTT (BK:PTT) PTTEP TOP
ราคาน้ำมันดิบดูไบล่าสุดอยู่ที่ 77.6 เหรียญฯต่อบาร์เรล ยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นใน รอบ 1 เดือนที่ผ่านมาจากระดับต่ำสุดที่ทำไว้ที่ 72.4 เหรียญฯต่อบาร์เรล นอกจากจะ เป็นการดีดตัวด้วยสัญญาณทางเทคนิคแล้ว ทางด้านพื้นฐานยังได้รับปัจจัยหนุนหลัก จากการที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียประกาศปรับลดอุปทานน้ำมันในตลาด โดย ซาอุดิอาระเบียได้ขยายเวลาในการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัตรใจจำนวน 1 ล้านบาร์เรลต่อวันออกไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. ขณะที่รัสเซียจะลดการส่งออกน้ำมัน จำนวน 5 แสนบาร์เรลต่อวัน ในเดือน ส.ค. เช่นกัน ซึ่งในเชิงกลยุทธ์ประเด็นดังกล่าว น่าจะยังเป็น sentiment เชิงบวกช่วงสั้นต่อหุ้นกลุ่มผลิตผู้ผลิตน้ำมันทั้ง PTTEP และ PTT ที่ยังสามารถ trading ได้ตามทิศทางราคาน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณา ในภาพใหญ่ยังต้องติดตามภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวที่อาจจะถูก หยิบยกมาให้น้ำหนักได้ในบางจังหวะ ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันที่อาจชะลอ ตัว ทำให้ราคาน้ำมันดิบอาจผันผวนได้ตามประเด็นข่าวในแต่ละช่วงเวลาได้ เช่นเดียวกับกลุ่มโรงกลั่นและปิโตรเคมี อาทิ TOP, PTTGC, IRPC, BCP, ESSO, SPRC หากพิจารณาในส่วนของราคาหุ้นในปัจจุบันพบว่าค่อนข้างมี downside จำกัด เนื่องจากราคาหุ้นมีการปรับฐานสะท้อนปัจจัยกระทบทางด้านพื้นฐานที่ย่ำแย่ ในช่วง 2Q66 มาแล้วยในระดับหนึ่ง ดังนั้นประเด็นการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน อาจ เป็นปัจจัยที่เข้ามาขับเคลื่อนราคาหุ้นในช่วงสั้นให้มีการขยับตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามใน ภาพใหญ่ด้านพื้นฐานยังไม่มีปัจจัยบวกที่สนับสนุนที่ชัดเจน ยังต้องรอจีนซึ่งถือเป็น ผู้บริโภคหลักว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วเพียงใด เนื่องจากในปัจจุบันยังมีประเด็นความ กังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็จะสลับกับ ประเด็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่เป็นข่าวออกมา ดังนั้นในเชิงกล ยุทธ์จึงแนะนำ trading ช่วงสั้นตามทิศทางเศรษฐกิจและตลาดเช่นเดียวกัน
OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 ใครรอด – ใครร่วง
ฝ่ายวิจัยฯ จะมานำเสนอ OUTLOOK ผลประกอบการ 2Q66 รายอุตสาหกรรม โดย แบ่งเนื้อหาของแต่ละอุตสาหกรรม ตามการจัดตารางรายวัน ดังนี้
จันทร์10 ก.ค.66 กลุ่มธพ, ท่องเที่ยว, ยานยนต์
อังคาร11 ก.ค.66 กลุ่มค้าปลีก, สื่อสาร
พุธ12 ก.ค.66 กลุ่มรับเหมา,วัสดุก่อสร้าง
พฤหัสบดี 13 ก.ค.66 กลุ่มปิโตรฯ, พลังงาน, ถ่านหิน, โรงไฟฟ้า
ศุกร์14 ก.ค.66 กลุ่มนิคมฯ,Logistic, อสังหา
โดยวันนี้เป็นคิวของกลุ่มรับเหมา, วัสดุก่อสร้าง โดยมีรายละเอียดทางพื้นฐาน ดังนี้
กลุ่มวัสดุก่อสร้าง(-QoQ / -YoY) งวด 2Q66 ถือเป็น Low Season ของกลุ่มวัสดุ ก่อสร้าง เพราะมีวันหยุดยาวหลายช่วง และเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน คาดจะเห็นการปรับตัว ลดลงของกำไรเมื่อเทียบกับงวด 1Q66 จากปัจจัยด้านฤดูกาล แต่หากเทียบกับงวด 2Q65 เชื่อว่าจะเห็นกำไรปรับตัวลดลงเช่นกัน เพราะมี 2 ปัจจัยลบเข้ามากดดัน ได้แก่ 1. กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวโดยเฉพาะลูกค้าระดับกลาง-ล่าง และ 2. ต้นทุน วัตถุดิบและพลังงานที่แม้จะเริ่มลดลงมาแล้ว อย่างเช่น ถ่านหินและก๊าซธรรมชาติ แต่ก็ ยังสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผู้ประกอบการยังไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนที่ เพิ่มขึ้นไปสู่ราคาสินค้าได้ทั้งหมด สำหรับบริษัทในกลุ่มปูนซีเมนต์ได้แก่ SCC และ TPIPL ยังมีปัจจัยลบเพิ่มเติม จาก Spread ธุรกิจปิโตรเคมีที่ลดลงเทียบกับปีก่อน จึง น่าจะเห็นกำไรของ SCC หดตัวลง 52%YoY ส่วน TPIPL คาดกำไรลดลงมากกว่า 60%YoY เนื่องจากปีก่อน TPIPL ได้อานิสงค์จาก Spread EVA/LDPE-Ethylene ที่ อยู่ในระดับสูงมาก ซึ่ง TPIPL สามารถทำกำไร Record High รายไตรมาสได้ในงวด 2Q65 เช่นเดียวกับบริษัทผลิตกระเบื้องอย่าง DCC ที่มีฐานลูกค้าหลักเป็นเกษตรกรที่ พึ่งพิงรายได้จากสินค้าเกษตร คาดกำไรหดตัวลงไม่ต่ำกว่า 30%YoY จากปัญหา ต้นทุนสินค้าที่เพิ่มขึ้นสวนทางกับราคาขายกระเบื้องที่ปรับตัวลดลง ส่วน DRT แม้จะมี การกระจายฐานรายได้ไปสู่หลากหลายช่องทางการตลาดทำให้ยอดขายยังเติบโตได้ 5-10%YoY แต่ก็ได้รับผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น คาดจะเห็นกำไรอ่อนตัว ลง 10-15% YoY บริษัทในกลุ่มฯ ที่น่าจะมีโอกาสเห็นกำไรเติบโต YoY เล็กน้อยได้แก่ TASCO แม้จะะมีปริมาณการจำหน่ายยางมะตอยใกล้เคียงเดิม แต่จะได้อานิสงค์จาก เงินบาทที่อ่อนค่า ซึ่งน่าจะทำให้ TASCO มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน เพราะเป็น Net Exporter เทียบกับปีก่อนที่มี FX Loss เลือก SCC (FV@ Bt 370 ) เป็น Top Pick มอง จุดต่ำสุดของธุรกิจได้ผ่านพ้นไปแล้ว กำลังออกจากวัฏจักรขาลงของธุรกิจปิโตรเคมีใน ปีนี้ และเตรียมรับผลบวกจากกำลังการผลิตใหม่ของปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนาม ที่จะเริ่มเปิดดำเนินงานกลางปี 2566 แต่ราคาหุ้น SCC ระยะสั้นอาจถูกกดดันจากงบ 2Q66 ที่ไม่สดใส แนะนำทยอยสะสมหลังประกาศงบ 2Q66
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง(-QoQ / +YoY) แม้บริษัทรับเหมาฯยังมีการดำเนินงานก่อสร้าง โครงการที่ต่อเนื่องมาจากงวด 1Q66 แต่จำนวนวันทำงานที่น้อยลง ทำให้การรับรู้ รายได้ในงวด 2Q66 มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับ 1Q66 อย่างไรก็ตามหาก เทียบกับช่วง 2Q65 ที่หลายบริษัทยังมีปัญหาขาดแคลนแรงงาน เชื่อว่าจะเห็นรายได้ที่ ปรับตัวสูงขึ้น ด้านอัตรากำไร โดยปกติในระหว่างปีบริษัทรับเหมามักจะไม่ได้มีการปรับประมาณการ Budget งานก่อสร้าง อีกทั้งต้นทุนวัสดุก่อสร้างสำคัญอย่างปูนซีเมนต์ แทบไม่ได้ปรับตัวขึ้นในช่วง 2Q66 เทียบกับ 1Q66 ส่วนราคาเหล็กเส้นปรับลดลง ประมาณ 5-10%QoQ จึงคาดว่าอัตรา gross margin โดยเฉลี่ยของกลุ่มรับเหมาฯ น่า อยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 1Q66 โดยบริษัทที่คาดว่าจะทำกำไรเด่นใน 2Q66 คือ CK (FV@27 Bt) เพราะไตรมาสนี้จะได้รับเงินปันผลจาก TTW เข้ามา 232 บาท บวกกับส่วน แบ่งกำไรตามส่วนได้เสียจาก BEM ที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนผู้ใช้บริการทางด่วนและ รถไฟฟ้าใต้ดิน รวมถึง STEC (FV @ 13 Bt) ที่จะรับรู้เงินปันผลจาก GULF และ TSE เข้า มาประมาณ 150 ล้านบาท และ SEAFCO (FV@ 4.92 Bt) ที่จะมีการรับรู้รายได้หลาย โครงการใหญ่ในงวด 2Q66 ทั้งโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ทางยกระดับพระราม2- บ้านแพ้ว และโครงการ North Pole ในเครือ Central ทำให้กำไรน่าจะอยู่ในระดับสูง ใกล้เคียงกับ 1Q66 และ Turnaround เมื่อเทียบกับ 2Q65 ที่มีผลขาดทุน
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities