มูลค่าการซื้อขายวานนี้ที่บางเพียง 3.29 หมื่นล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิต่อเนื่องอีก 1.25 พันล้านบาท สะทัอนภาพของ SET Index ที่อยู่ในภาวะ ที่ขาดแรงขับเคลื่อนอย่างชัดเจน และหากประเมินสถานการณ์ในอนาคตอันใกล้ ยังมีปัจจัยที่ต้องรอลุ้นอยู่อีกมาก เฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในประเทศ ที่กำลังเข้า ใกล้จุดเปลี่ยนที่สำคัญ หลังจากที่ กกต. รับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. อย่างเป็น ทางการ ครบทั้ง 100% เมื่อบ่ายวานนี้ กระบวนการต่อไปจะเป็นการเปิดสมัย ประชุมสภาครั้งแรก ซึ่งเบื้องต้นถูกคาดหมายว่ามีโอกาสเกิดขึ้นในวันที่ 3 ก.ค.66 หรือ อาจก่อนหน้านั้น ซึ่งถัดจากนั้น ก็เป็นการเลือกประธานสภาผู้แทนฯ ซึ่งจนถึง ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุปที่มาจาก ก้าวไกล-เพื่อไทย หลังจากนั้นก็จะเป็นการโหวต เลือกนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็ต้องลุ้นว่าจะได้เสียงสนับสนุนพอหรือไม่
มูลค่าการซื้อขายอยู่ในระดับที่เบาบางจนไม่สามารถขับเคลื่อนตลาดที่มีMarket Cap กว่า 19 ล้านล้านบาทได้ คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1545 – 1570 จุด Top Pick เลือก AOT (BK:AOT), PTTGC และ JMT
มาตรการกระตุ้นเศรฐกิจจีนเพิ่มเติม ความหวัง Demand โลก ฟื้นตัว
การกลับมาเปิดประเทศจีนในช่วงต้นปี ทำให้ทั่วโลกเต็มไปด้วยความคาดหวังว่าจะ เศรษฐกิจจะกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง แต่เมื่อนับตั้งแต่เดือน ก.พ. เป็นต้นมา เศรษฐกิจ จีนกลับไม่ได้เร่งตัวตามคาด อีกทั้งมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐยังไม่แรงพอ บวกกับ มีปัญหาอีกหลายอย่างที่รออยู่ข้างหน้า เฉพาะอย่างยิ่งในภาคอสังหาฯ
ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ธนาคารยักษ์ใหญ่ของโลกต่างปรับลดประมาณการ GDP จีนในปี 2023 อาทิ Goldman Sachs คาดจาก +6.0%YoY เหลือ +5.4%YoY, UBS คาดจาก +5.7%YoY เหลือ +5.2%YoY เป็นต้น
การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่แผ่วลง เชื่อว่าจะเป็นแรงผลักสำคัญให้รัฐบาลจีนเร่งออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นใน 2H66 ซึ่งนับตั้งแต่ต้นเดือน มิ.ย. ยังเห็น สัญญาณที่ดีขึ้นเพื่อเพิ่ม Demand ผ่านนโยบายการเงินจากการปรับลดดอกเบี้ยเงิน ฝากและเงินกู้ อีกทั้งเช้านี้ธนาคารกลางจีน (PBOC) ยังปรับลดอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 1 ปีและ 5 ปี ลง 0.10% ตามคาด สู่ระดับ 3.55% และ 4.2% ตามลำดับ โดย ดำเนินการครั้งแรกในรอบ 10 เดือน
มาตรการกระตุ้นเศรษกิจจีนที่เริ่มทยอยออกมามากขึ้น คาดว่าจะเป็นแรงหนุนสำคัญ ต่อการฟื้นตัวของจีนในปีนี้ รวมถึงเป็นอานิสงส์เชิงบวกต่อของเศรษฐกิจทั่วโลกได้ เช่นกัน สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมและรายชื่อหุ้นเด่นที่คาดการณ์ว่าจะได้ประโยชน์จาก เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว
สรุป เศรษฐกิจจีนฟื้นตัว เป็นแรงหนุนสำคัญต่อการเพิ่มขึ้นของ Demand ซึ่งจะเป็น อานิสงส์เชิงบวกต่อบ้านเรา เฉพาะอย่างยิ่งในภาคการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของไทย
การเมืองเริ่มชัดเจน ขณะที่มูลค่าซื้อขาย SET ยังแห้งเหือด
ประเด็นการเมือง มีสัญญาณบวกและความชัดเจนในการจัดตั้งรัฐบาลมากขึ้น หลัง วานนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน รวม ส.ส. ทั้งหมด 500 คน โดย ส.ส.ที่ กกต.ประกาศรับรองสามารถมารับหนังสือรับรองได้ ในช่วงวันที่ 20 มิ.ย.66 - 24 มิ.ย.66 ซึ่งหากเรียงตาม Timeline คาดว่าจะเปิดสมัย ประชุมสภาฯ ซึ่งต้องใช้เวลาไม่เกิน 15 วัน(ปลายเดือนนี้ – ต้น ก.ค.66) และเลือก ประธานสภา ขณะที่วาระสำคัญที่สุด คือ การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี(คาดว่าอยู่ ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 เดือน ก.ค.66) ที่ต้องได้รับเสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งของ รัฐสภา ซึ่ง ประกอบด้วย ส.ส. 500 คน และ ส.ว. 250 คน รวม 750 คน หมายความว่าต้องได้ คะแนนเสียงสนับสนุน 376 คน ขึ้นไป ซึ่งเสียงของพรรคร่วมรัฐบาลที่มีการลมมติ ข้อตกลง MOU ร่วมกันมีเพียง 312 เสียงซึ่งขาดอีก 64 เสียงถึงจะมีคะแนนเสียง สนับสนุนเลือกนายกรัฐมนตรีได้ซึ่งต้องเพิ่งพา สว.ทั้ง 250 คน ดังนั้น หากเวลา ดำเนินไปจนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีแล้ว คะแนนเสียงสนับสนุนไม่ถึง 376 เสียงจาก 750 เสียง ก็จะทำให้ช่วงเวลาของสุญญากาศยาวขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อ เศรษฐกิจ และตลาดหุ้น
ซึ่งความไม่แน่นอนที่จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จหรือไม่ ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา Fund flow ต่างชาติยังไม่มีท่าทีที่จะไหลเข้าตลาดหุ้นไทย ส่งผลให้ SET Index ผันผวน ในทิศทางลง บวกกับ ก่อนหน้านี้บริษัทจดทะเบียนบางบริษัทมีการกระทำที่บั่นทอน ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย จึงทำให้มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยเบาบางลงจากในอดีตอย่าง เห็นได้ชัด โดยวานนี้ SET มีมูลค่าซื้อขายเบาบางเพียง 3.2 หมื่นล้านบาท(คิดเป็น Turnover ต่อปี 42% เท่านั้น) ขณะที่ตั้งแต่ต้นปีมี Turnover ต่อปีอยู่ที่ระดับ 66.0%(Ytd) ซึ่งค่าเฉลี่ยปี 2021 และ 2022 SET มี Turnover อยู่ระดับ 109% และ 84% ตามลำดับ
สรุป SET Index มีโอกาสผันผวนในกรอบแคบ และมีมูลค่าซื้อขายที่เบาบางลงจากใน อดีต ขณะที่ประเด็นการเมือง แม้เห็นสัญญาณที่ดีขึ้น หลัง กกต.ประกาศรับรองผล การเลือกตั้ง ส.ส. ทั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 400 เขต และแบบบัญชีรายชื่อ จำนวน 100 คน รวม ส.ส.ทั้งหมด 500 คน ซึ่งถือเป็นประเด็นหนุนต่อ SET Index ในระยะสั้น อย่างไรก็ตามหากจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ไม่ได้ จากคะแนนเสียงสนับสนุนไม่เกินกึ่งหนึ่ง ของ 750 เสียง(376 เสียงขึ้นไป) จะทำให้มีสูญญากาศนานขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้อง ติดตามอย่างใกล้ชิด
DELTA มีความเสี่ยงหลุด SET50 รอบ 1H67 สูงขึ้น และหลัง ติด CASH อาจกดดันมูลค่าซื้อขายของ SET Index ลดลงอีก
ในปีนี้ (1 ม.ค. – 19 มิ.ย. 66) ราคาหุ้น DELTA ปรับขึ้น 41%ytd หนุน SET Index เพิ่มขึ้น 43.8 จุด หรือ SET -6.7%ytd แต่ SET Non DELTA -9.3%ytd
แต่วานนี้ตลาดฯ ให้DELTA ติด Trading Alert ในช่วง 20 มิ.ย. – 10 ก.ค. 66 ซึ่ง ประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย 2 ส่วน คือ
1. มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยลดลงแล้ว มีโอกาสลดลงอีก เนื่องจาก DELTA เคยมี สัดส่วนมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยในตลาดราว 4.1% แต่ช่วงติด Trading Alert (3 – 21เม.ย. 66) ทำให้บางวันเหลือสัดส่วนมูลค่าซื้อขายในตลาดราว1% เท่านั้น ดังนั้นในช่วง 20 มิ.ย. –10 ก.ค. 66 ที่ DELTA ติด Trading Alert น่าจะกดดัน ให้มูลค่าซื้อขายของ SET อาจเบาบางลงไปด้วย
2. DELTA มีความเสี่ยงหลุด SET50-100 รอบ 1H67 เพิ่มขึ้น จากเกณฑ์ สภาพคล่อง ที่ต้องมีมูลค่าซื้อขายสูงจน Turnover สะสมต่อเดือน > 2% และ ไม่รวมเดือนที่ติด Cash Balance หรือ Trading Alert ในช่วงเดือน ธ.ค. 65 - พ.ย. 66 แต่ปัจจุบัน DELTA ติด CASH Balance ไปแล้ว 3 เดือน (เม.ย. 66, มิ.ย. 66, ก.ค. 66) ถ้า DELTA ติด Cash Balance เพิ่ม 1 เดือน หรือมูลค่า ซื้อขายเดือนใดเดือนหนึ่งในช่วง ส.ค. - พ.ย. 66
สรุป DELTA ที่ติด Trading Alert และมีความเสี่ยงหลุด SET50 และ SET100 รอบ 1H67 เพิ่มขึ้น เป็นส่วนหนึ่งที่กดดันให้มูลค่าซื้อขายหุ้นไทยมีโอกาสแผ่วเบาลง กว่าเดิมได้
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities