สัปดาห์นี้ นักลงทุนรอติดตามปัจจัยภายนอกที่ส่งผลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสำคัญๆ ของโลก เริ่มจาก เงินเฟ้อสหรัฐ เดือน พ.ค. รายงานวันที่ 13 มิ.ย. ตลาดคาดลดลงเหลือ 4.1%YoY (เดือนก่อน 4.9%YoY) ถือว่าต่ำกว่า ดอกเบี้ยนโยบายที่ 5.25% พอสมควร น่าจะส่งผลให้การประชุม Fed ในคืนที่ 14 มิ.ย. คงดอกเบี้ย (หลังจากขึ้นดอกเบี้ยมาแล้ว 10 ครั้งติดต่อกัน) ตามมาด้วยการ ประชุม ECB ในวันที่ 15 มิ.ย. ตลาดคาดว่ามีโอกาสมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% เป็น 4% จากเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่
ขณะที่ปัจจัยภายในประเทศ มีประเด็น กกต. จะเสนอเรื่องการประกาศรับรองผล การเลือกตั้งส.ส. ตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย. คาดว่าแล้วเสร็จ 27 มิ.ย. (มีโอกาสได้ ครม. เร็วขึ้น ราว 2 สัปดาห์กว่าๆ หรือช่วงปลายๆ เดือน ก.ค.) แต่ยังมีเรื่อง การเผชิญ กับประเด็นนิติสงครามทางการเมือง อย่าง กกต. ฟ้องหัวหน้าพรรคก้าวไกล มาตรา 151 ระบุว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาด คุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร” กดดันให้ SET Index กลับมาผันผวนได้ในช่วงนี้
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1545 – 1558 จุด Top picks แนะนำหุ้น พื้นฐานลงมาลึกมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว อย่าง BEM IVL และ ERW ที่มีโอกาสเข้า SET100 ในรอบ 2H66
กลยุทธ์การลงทุน
ปลายทางขาขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐฯ กดดันดอลลาห์อ่อนค่า
วันศุกร์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปิดตัวในกรอบแคบราว -0.5% ถึง +0.2% หลังไรปัจจัยใหม่เข้ามาช่วยหนุน ประกอบกับนักลงทุนต่างรอติดตาม Events ใหญ่ๆ ในสัปดาห์นี้
เริ่มจากวันที่ 13 มิ.ย. นี้ ทางการสหรัฐฯ จะมีการรายงานเงินเฟ้อเดือน พ.ค. โดย Consensus คาดการณ์ว่าจะปรับลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ระดับ +4.1%YoY ซึ่ง สอดคล้องกับแบบจำลองของฝ่ายวิจัยฯ ที่ประเมินว่าจะอยู่ที่ระดับ +4.4%YoY ทำให้ Real Interest Rate ยังอยู่ใซนบวก (ดอกเบี้ยปัจจุบัน 5.25%)
ทั้งนี้หากเฟ้อสหรัฐชะลอตัวเข้าใกล้กรอบเป้าหมายมากขึ้น อาจเป็นปัจจัยหนุนให้ Fed ตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% ในการประชุม FOMC วันที่ 14 มิ.ย. หลังจากปรับเพิ่มขึ้น 10 ครั้งติดต่อกัน นับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2565 และในวันดังกล่าว ยังรอติดตามถ้อยแถลงของ ประธาน Fed ในมุมของที่มีต่อ Core CPI ที่ปรับตัวลงช้า กว่า บวกกับทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินสหรัฐในระยะถัดไป ท่ามกลาง เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว
ส่วนในวันที่ 15 มิ.ย. มีการประชุม ECB ตลาดยังมองว่าจะขึ้นดอกเบี้ยต่อ 0.25% อีก 2 ครั้ง ก่อนจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงสิ้นปี เนื่องจากแรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงสูง เฉพาะอย่างยิ่ง Core CPI จากภาคบริการ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะช่วยหนุนให้ ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น และอาจจะกดดันให้ดอลลาห์อ่อนค่าลง
สรุป เงินเฟ้อสหรัฐฯ มีแน้วโน้มลดลงต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นปัจจัยหนุนให้ Fed ตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25% ในสัปดาห์นี้ ขณะที่ฝั่งยุโรป ECB อาจขึ้น ดอกเบี้ยอีกราว 1-2 ครั้ง เนื่องจากแรงกดดันจากเงินเฟ้อยังคงสูง ทั้งนี้ผลที่ตามมา น่าจะช่วยหนุนให้ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น และอาจจะกดดันให้ดอลลาห์อ่อนค่าลง
Demand จีนอ่อนแอ หวังมาตรการล็อตใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ
สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เผยเงินเฟ้อ (CPI) จีนในเดือน พ.ค. ขยายตัวเพียง +0.2%YoY ตามคาด ซึ่งขยับขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเม.ย.ที่ +0.1%YoY ส่วนดัชนี ราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพ.ค. -4.6%YoY ต่ำกว่าตลาดคาดที่ -4.6%YoY และยัง ปรับตัวลดลงต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ -3.6% เนื่องจากปัจจัยหนุนส่วนใหญ่มาจาก ภาคบริการ (PMI > 50 จุด) แต่ Demand ที่อ่อนแอลงได้ส่งผลกระทบต่อการผลิต ทำ ให้เศรษฐกิจจีนยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที
เมื่อพิจาราณาจากข้อมูลในอดีต จะเห็นได้ว่า CPI และ PPI ของจีนช่วงปี 2014-2015 อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำคล้ายคลึงกับปัจจุบัน ทำให้ ธนาคารกลางจีน (PBOC) จะปรับ ลดอัตราดอกเบี้ยลงมากว่า 1.65 % (จากระดับ 6% สู่ 4.35) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำ ให้ Bloomberg คาดว่าในวันที่ 15 มิ.ย. นี้PBOC จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ปีลง 0.1% นอกจากนี้ยังคาดหวังว่าในระยะถัดไปรัฐบาลจีนจะออกมาตรการออกมา เพิ่มเติม เนื่องจากนโยบายการเงินและการคลังที่กระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันถือว่ามี น้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา อาทิ ช่วงปี 2019 ที่มีการอัดเงินเข้าระบบกว่า 5.6 ล้านล้านเหรียญฯ
สรุป เศรษฐกิจจีนที่ค่อยๆ ฟื้นตัว คากหวังว่าจะเป็นช่องว่าให้รัฐบาลจีนออก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเอีกมาในระยะถัดไป เนื่องจากนโยบายการเงินและการคลัง ที่กระตุ้นเศรษฐกิจในปัจจุบันถือว่ามีน้อยมากเมื่อเทียบกับช่วงที่ผ่านมา
นิติสงคราม ยังคงอยู่ กลยุทธ์เน้นหุ้นหลบความผันผวนตลาดฯ
การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันอังคารที่ 13 มิ.ย.66 สำนักงาน กกต.จะเสนอเรื่องการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง ส.ส. ให้ที่ประชุมกกต. ได้เริ่ม พิจารณา โดยจะเสนอในส่วนของผู้ได้รับเลือกตั้งที่ไม่มีเรื่องร้องเรียนให้พิจารณาก่อน ซึ่งมีอยู่ราว 70% ของผู้ได้รับเลือกตั้งทั้งหมด จากนั้นจะทยอยพิจารณาในส่วนของผู้ ได้รับเลือกตั้งที่มีเรื่องร้องเรียนซึ่งมีอยู่ราว 20-30 คน จนแล้วเสร็จจึงจะออกประกาศ เรื่องรับรองผลการเลือกตั้งในคราวเดียว ครบทั้ง 500 คน (ตามแผน 28 มิ.ย.66 ก่อน กกต. ท่านหนึ่งจะเกษียณ) การรับรองผลเร็วขึ้นกว่าเดิมราว 2 สัปดาห์กว่าๆ อาจทำ ให้กระบวนการอื่นๆ ดำเนินการเร็วขึ้นตามลำดับ
ขณะที่ประเด็นอื่น อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเป็นเอกฉันท์ 6 เสียง ไม่รับคำร้อง กรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีคุณสมบัติ ลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ ในการสมัครรับเลือกตั้ง เหตุการถือหุ้นไอทีวี 42,000 หุ้น หรือ คดีหุ้นสื่อ แต่ให้รับเรื่องไว้พิจารณาเป็นความปรากฏ ตาม มาตรา 151 ระบุว่า “ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติ หรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง แต่ยังลงสมัคร” (โทษสูงสุดเพิก ถอนสิทธิเลือกตั้ง 20 ปี) โดยจะตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวนต่อไปนั้น
ซึ่งประเด็นการเมืองที่ยังมีทั้งปัจจัยบวกและลบในคราวเดียวกัน ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ หรือ หุ้นใน SET50 Underperform หุ้นอื่นๆ โดยหุ้นใน SET50 ที่ลงหนักสุดหลัง เลือกตั้ง (15 พ.ค. – 9 มิ.ย. 66) คือ CBG -15.6% SCGP -12.5% CRC -12.3% GULF -10.5% OR -9.9% CENTEL -9.5% SAWAD -9.1% TU -8.6% เป็นต้น ซึ่ง ราคาหุ้นบางบริษัทปรับลงแรง ส่วนหนึ่งจากความกังวลต่อนโยบายของพรรคก้าว ไกลที่ได้หาเสียงไว้
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม เพื่อหลบความผันผวนของตลาดฯ
• หุ้นพื้นฐานดี + ราคาหุ้นปรับตัวลงมาลึก SCGP CRC GULF BEM
• หุ้นมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว MAJOR ERW IVL
• หุ้นปันผลสูง KTB SC
สรุป ตลาดหุ้นไทยยังคงิยู่ในสภาวะผันผวน จากประเด็นการเมืองที่ยังมีความไม่ แน่นอนสูง ดังนั้นอาจเป็นสัญญาณที่ไม่ดีของ Flow ต่างชาติที่จะไหลเข้า โดยวันนี้มอง กรอบการเคลื่อนไหวของ SET กรอบแคบๆ 1545-1558 จุด ขณะที่ Top picks เลือก หุ้น 3 บริษัทจากกลุ่มข้างบน IVL BEM ERW
หุ้นคาดเข้า-ออก SET50-100 รอบ 2H23
ปัจจุบันนักลงทุนให้ความสำคัญกับประเด็น Index Play มากขึ้นอย่างมีนัยฯ ดังนั้น ฝ่ายวิจัยฯจึงทำการคำนวณและคัดกรองหุ้นที่มีโอกาส เข้า – ออกในดัชนี SET50 และ SET100 รอบ 2H23 ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯกำหนดข้างต้น ได้ผลลัพธ์ รายชื่อหุ้นเข้าออก SET50 2 คู่ และ หุ้นเข้าออก SET100 10 คู่ ดังตารางด้านล่าง แต่ ต้องอย่าลืมว่า รายชื่อหุ้นที่ถูกคัดเลือก สุดท้ายแล้วยังต้องขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ ตลาดฯ เป็นสำคัญ
ขณะที่รอบ 1H23(รอบที่ผ่านมา) มีหลายหุ้นที่ Outperform SET โดยหุ้นที่ถูกคัดเข้า ดัชนี SET50 อย่าง DELTA +21.0% COM7 +5.4% (ก่อน Effective 2 สัปดาห์) และ หุ้นที่ถูกคัดเข้าดัชนี SET100 อย่าง SABUY +8.7% THG +5.8% AAV +4.8% (ก่อน Effective 2 สัปดาห์)
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนเน้นหุ้นถูกคาดหมายว่าจะคัดเข้าคำนวณดัชนี SET50-100 และ พื้นฐานแข็งแกร่ง มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว อาทิ TLI BTG AEONTS SNNP และ ERW
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities