พัฒนาการของการจัดตั้งรัฐบาล + การโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ดูค่อยๆ ผ่อน คลายลงตามลำดับ หลังจากที่ ส.ว. บางส่วนเริ่มออกมาให้ความเห็น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เหตุเพราะยังเหลือช่วงเวลาอีกเกือบ 2 เดือน ก่อนที่จะมีการเปืดสมัยประชุมรัฐสภา เป็นครั้งแรก ซึ่งหมายความว่า พรรค ก้าวไกล และพรรคร่วมรัฐบาล ยังมีเวลาหาเสียงสนับสนุนเพิ่มเติมเพื่อโหวตเลือก นายกรัฐมนตรี สำหรับกำไรบริษัทจดทะเบียนในงวด 1Q66 ประกาศออกมาเกือบ ครบแล้วพบว่ามีกำไรสุทธิรวม 2.66 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.3% QoQ แต่ลดลง 7.9% YoY คิดเป็นสัดส่วน 23% ของประมาณการกำไรทั้งปี ยังถือว่าอยู่ในความ คาดหมาย และยังคาดหวังว่าในช่วงเวลาที่เหลือยังเติบโตได้ต่อ ส่วนเรื่องการขยาย เพดานหนี้สหรัฐ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันตลาดหุ้นโลก ในช่วงที่เหลือของเดือนนี้
SET Index น่าจะผ่านช่วงของPanic Sell ไปแล้ว จากนี้ไปน่าจะค่อยๆ ยืนได้ และ ฟื้นกลับในที่สุด เหตุเพราะองค์ประกอบการทำกำไรของ บจ. ไม่เปลี่ยน คาด SET Index อยู่ในกรอบ 1530-1552 จุด หุ้น Top Pick เลือก CK, CPALL (BK:CPALL) และ CPN
DEBT CEILING สหรัฐ ยังไม่สรุป เสี่ยง GOVERNMENT SHUTDOWN
วานนี้ตลาดหุ้นต่างประเทศย่อตัวลงมา โดยในฝั่งสหรัฐปิดตัวในแดนลบราว -0.2% ถึง - 1.4% ส่วนฝั่งยุโรปปิดตัวราว -0.02% ถึง -0.3% ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงกดดันมาจาก ตัวเลขยอดค้าปลีกเดือน เม.ย. อยู่ที่ +1.6%YoY ต่ำกว่ามตลาดคาดที่ +4.2%YoY และ ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนที่ +2.42%YoY ซึ่งชะลอตัวลงในหลายสินค้า ยกเว้นในหมวด ภาคบริการที่ยังเติบโตได้ดี เฉพาะอย่างยิ่งการบริการอาหารและเครื่องดื่ม (+9.6YoY)
นอกจากนี้ความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ หลังการหารือระหว่าง ปธน. โจ ไบเดน (พรรคเดโมเครต) และประธานสส.แมค คาร์ธีย์(พรรครีพับลิกัน) วานนี้ ในประเด็นเรื่อง Debt Ceiling ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เนื่องจากทางพรรครีพับลิกัน ต้องการให้ลดงบประมาณการใช้จ่ายถึง 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ ในระยะเวลาอีก 10 ปี ข้างหน้า เพื่อแลกกับเพิ่มเพดาหนี้จำนวน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกันการเจรจาดังกล่าวอาจถูกบีบรัดมากขึ้นด้วยกรอบระยะเวลาที่จำกัด โดย วันที่ 18 พ.ค. นี้ จะเป็นวันสุดท้ายที่ สส. และ สว. มาประชุมร่วมกัน ขณะที่ ปธน. โจ ไบ เดน จะมีการเดินทางไปประชุม G7 ที่ญี่ปุ่นในวันที่ 17 พ.ค. และจะเดินทางกลับใน สัปดาห์หน้า ทำให้เหลือเวลาอีกเพียงไม่เกิน 2 สัปดาห์ ก่อนที่จะถึงวันกำหนดชำระหนี้ (1 มิ.ย. 66) ถ้าหากยังไม่มีการยืนยันยอมรับร่างกฎหมายเกี่ยวกับการแก้ปัญหาหนี้ สหรัฐฯ ก็มีโอกาสสูงที่จะเกิด Government Shutdown
สรุป ประเด็นความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ทั้งการชะลอตัวของ Demand ในสหรัฐ หลังยอดค้าปลีกขยายตัวลดลง รวมถึงความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ ยังคงอยู่ ล้วนเป็นปัจจัยภายนอกประเทศ ที่อาจเข้ามาเพิ่มระดับความกังวลต่อการ ลงทุนในตลาดหุ้นบ้านเราได้เช่นกัน
กำไรงวด 1Q66 ออกมาแล้ว เรายังคงประมาณกำไร 2566และเป้าหมาย ที่ 1610 จุด
บริษัทจดทะเบียนรายงานกำไรงวด 1Q66 ออกมา 2.66 แสนล้านบาท คิดเป็น Market Cap ราว 96% และคิดเป็น 23% ของประมาณการทั้งปี(+59%QoQ และ -8%YoY) ซึ่ง มีบางที่ยังไม่ประกาศงบเพราะงวดบัญชีไม่ตรงกัน อาทิ BTS BISGIF เป็นต้น
หากพิจารณาเป็นรายอุตสาหกรรม จะเห็นว่ามีกลุ่มที่กำไรเติบโต QoQ อาทิ PETRO, CONS, CONMAT, ENERG, MEDIA, PKG, INSUR, ICT, BANK, AUTO, HELTH เป็นต้น ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก สภาวะเศรษฐกิจ หรือ GDP ในช่วง 1Q66 เติบโต +1.9%QoQ และ +2.7%YoY สูงกว่าตลาดคาดที่ +1.8%QoQ และ +2.3%YoY โดยมี แรงหนุนจากทั้งภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวขึ้นเรื่อยๆ และการบริโภคของประชาชนในช่วง ต้นปี ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจสามารถกลับมายืนเหนือสมมุติฐานระดับก่อนเกิดโควิด ได้แล้ว
ขณะที่ประมาณการกำไรปี 2566 ของฝ่ายวิจัยฯ อยู่ที่ 1.12 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น EPS66F ที่ระดับ 91.8 บาท/หุ้น แต่ด้วยฐานกำไรปี 2565 ที่ต่ำอยู่ที่ 1.01 ล้านบาท คิด เป็น EPS65 เท่ากับ 81.5 บาท/หุ้น แสดงให้เห็นว่ากำไรปี 2566 ยังมีอัตราการเติบโต หรือ EPS Growth66F ถึง 12.6%
ดังนั้นเป้าหมายดัชนีSET Index ยังคงเดิม กล่าวคืออิงกับระดับ MEYG 4.00%(ค่าเฉลี่ย ย้อยหลัง 10 ปี) หรือคิดเป็น PE ระดับ 17.54 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS66F 91.8 บาท/ หุ้น จะได้ผลลัพธ์ คือ ดัชนีเป้าหมายปลายปีที่ 1610 จุด
ดังนั้น ณ ดัชนีปัจจุบันที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 1610 จุด ต้องถือเป็นจุดน่าสะสมหุ้นเพิ่มเพื่อ ได้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาว ขณะที่กรอบการเคลื่อนไหวของ SET Index วันนี้ คาดในช่วง 1530-1552 จุด
คาดตลาดหุ้นไทยนิ่งขึ้น และ UPSIDE เปิดกว้างจากเป้าหมาย 1610 จุด
ปัจจัยภายนอกนักลงทุนยังติดตามประเด็นการขยายเพดานหนี้สาธารณะสหรัฐอย่าง ใกล้ชิดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ดัชนี Dow Jones ปรับตัวลดลง 3.18%mtd ขณะที่ประเทศ อื่นๆ โดยเฉพาะในฝั่งเอเซียยัง Outperform กว่า อาทิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่น +3.4%mtd, เวียดนาม +1.6%mtd, อินเดีย 1.3%mtd และไทยที่ +0.7% mtd
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงมา 4 วัน ราว -2% จากความกังวลเรื่องนโยบายการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและประเทศที่แตกต่างจากเดิม, การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจะราบรื่น หรือไม่? และยังเป็นโค้งสุดท้ายของการรายงานงบ 1Q66 ที่มีบางบริษัทออกมาต่ำคาด
แต่วันนี้คาดว่าแรงกดดันจากปัจจัยดังกล่าวเริ่มเบาลง จาก ส.ว. และ สส. บางท่านเริ่ม ออกมาให้ความเห็นสนับสนุนหรือโหวตนายกฯ คนที่ 30ตามเสียงข้างมากของประชาชน ทำให้พรรคก้าวไกลมีโอกาสในการรวบรวมเสียงสส.กับพรรคร่วมรัฐบาล จาก 310 เสียง เพิ่มขึ้นเป็น 376 เสียงได้มากขึ้น รวมถึงความผันผวนของหุ้นรายตัวลดลง หลังผ่านช่วง ประกาศงบ 1Q66 ไปแล้ว
สรุป SET Index มีโอกาสผันผวนน้อยลงตามตลาดหุ้นเอเซียที่ Outperform รวมถึง แรงกดดันเรื่องการเมืองเริ่มเบาลง และภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนงวด 1Q66 ยัง มีทิศทางเติบโตโดดเด่นถึง 59%QoQ ภายใต้ดัชนีปัจจุบันที่ 1539 จุด ยังมีช่องว่าง ขยับไปสู่ดัชนีเป้าหมายที่ 1610 จุด พอสมควร ถือเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นเพิ่ม Top pick วันนี้เลือก CK, CPALL, CPN
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities